พวกเขาพักอยู่ในโรงแรมของลอนดอนอีกหนึ่งคืน เช้าวันถัดมาก็ไปดูวิวทิวทัศน์ของลอนดอนในหอคอยชมวิว ยามบ่ายไปรับประทานอาหารขึ้นชื่อของคนท้องถิ่น เสร็จสรรพเฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงจึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้าน
เมื่อกลับมาอยู่บนรถ เสียวหว่านชิงถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่อาลัยอาวรณ์ : “คุณพ่อคุณแม่คะ พวกเราจะกลับแล้วเหรอคะ ?”
“เป็นอะไรไป ? ติดใจไม่อยากกลับบ้านเหรอคะ ?” เฉียวเฟิงถามเธอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
หว่านชิงพยักหน้า : “หนูคิดว่าอยู่ด้านนอกมันสนุกกว่านะคะ”
“เด็กดื้อ พวกเราไม่สามารถเที่ยวเล่นอยู่ด้านนอกไม่กลับบ้านได้หรอกนะ” ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม
“รู้แล้วน่า หนูก็แค่ยังไม่อยากกลับไปนี่นา” เสียวหว่านชิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธอ
“ความจริงแล้วผมก็ยังไม่อยากกลับเหมือนกัน” อยู่ ๆ เฉียวเฟิงก็ยิ้มขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เวลานั้นเธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
เฉียวเฟิงยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของเธอ : “อย่ามองหน้าผมแบบนี้สิ ความจริงแล้วความคิดของผมกับหว่านชิงเหมือนกัน ก็คืออยากให้พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกได้มีความสุขสนุกสนานแบบนี้ตลอดไป ถูกต้องไหมลูกรัก ?” เฉียวเฟิงหันหน้าไปหาหว่านชิง
เสียวหว่านชิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ใช่แล้วค่ะ ไม่ต้องไปโรงเรียน โตขึ้นแล้วไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องแยกจากคุณพ่อคุณแม่”
“ไม่ต้องไปโรงเรียนไม่ต้องทำงานเหรอ ? ถ้างั้นมันต่างอะไรกับคนไร้ค่าล่ะคะ ?” เฉียวเฟิงยิ้มพร้อมพูดขึ้น
“อืม เมื่อวานนี้ไม่รู้ว่าใครบอกเองว่าจะพยายามกลายเป็นคนดังให้ได้” ไป๋มู่ชิงกล่าว
เสียวหว่านชิงยิ้มอย่างเคอะเขินขึ้นมา : “หว่านชิงอยากเป็นคนดังค่ะ”
“เด็กดี ถูกต้องแล้วค่ะ”
หว่านชิงเล่นหยอกล้อกับเฉียวเฟิงอยู่ภายในรถ ส่วนไป๋มู่ชิงก็นั่งมองพวกเขาทั้งคู่อยู่ข้าง ๆ ภายในใจก็เริ่มมีความรู้สึกเศร้าใจผุดขึ้นมาผสมปนเปกันไปหมด ทุกคราที่เห็นพวกเขาทั้งสองคนมีความสุขเฮฮากัน เธอก็มักจะคิดถึงหนานกงเฉินที่อยู่ทางนั้นอยู่เรื่อย ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง สุขภาพร่างกายดีขึ้นมาบ้างหรือยัง ทางบริษัทดีขึ้นมาบ้างหรือยัง และก็……จิตใจสงบนิ่งขึ้นแล้วหรือยัง
ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยากเย็นสำหรับเขาในเวลานี้มาก
“คุณพ่อคะ วันหลังพวกเรายังจะไปเที่ยวด้วยกันเยอะ ๆ อีกไหมคะ ?” อยู่ ๆ เสียวหว่านชิงก็ถามขึ้นมา
เฉียวเฟิงพูดไม่ออก เวลาต่อมาก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้างั้นก็ต้องถามคุณแม่แล้วละครับ ถ้าคุณแม่อยากไปก็ได้เสมอ”
“คุณแม่คะ จะเป็นอย่างนั้นไหมคะ ?” หว่านชิงหันมาสอบถามไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้า : “แน่นอนจ้ะ ขอแค่หว่านชิงเป็นเด็กดีไปตลอด วันหลังพวกเราก็จะไปกันบ่อย ๆ ค่ะ”
“หว่านชิงเป็นเด็กดีมาตลอดเลยนะคะ”
“ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันทุกปีเลย” ไป๋มู่ชิงกล่าวปลอบประโยน
“ดีจังเลย ขอบคุณนะคะคุณแม่ !” หว่านชิงกล่าวด้วยสีน้าอันร่าเริง
“เอาล่ะ เที่ยวเล่นมาทั้งวันเหนื่อยแย่แล้วใช่ไหม” เฉียวเฟิงอุ้มหว่านชิงขึ้นมาบนตัก : “นอนหลับพักผ่อนให้ดี ๆ จากนั้นแปป ๆ ก็จะถึงบ้านแล้วโอเคไหมคะ ?”
“ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า จากนั้นก็หลับตาพริ้มอย่างว่าง่าย
--
หนึ่งชั่วโมงผ่านมา รถยนต์ได้เลี้ยวเข้ามาอยู่แถวบริเวณที่พักเป็นที่เรียบร้อย
ครั้นไป๋มู่ชิงมองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยอยู่ไกล ๆ กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเข้ามาใกล้เธอยิ่งตกตะลึงกว่าเดิมเนื่องจากเงาที่อยู่ตรงนั้นคือหนานกงเฉิน ?
เวลานี้หนานกงเฉินสวมชุดคลุมสีดำยาวปกขนสัตว์ รูปร่างของเขาผอมลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย และซูบลงเล็กน้อยเช่นกัน แม้ตัวเขาตอนนี้จะไม่มีความดุดันและความดูดีมีสไตล์อย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงมีความสดใสเช่นเคยไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด
นัยน์ตาอันคุ้นเคยคู่นั้น ไป๋มู่ชิงมองเห็นแค่แวบเดียวก็ทราบทันทีว่าเวลานี้เขามีความไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง !
ก็จริง ในเวลาเช่นนี้เธอยังคาดหวังให้เขาอารมณ์ดีอีกหรืออย่างไร ?
รถยนต์จอดอยู่เบื้องหน้าเขา ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมา ทว่าเธอไม่ได้ลงรถไป เนื่องจากไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรดี
เธอหันหน้ามองเฉียวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือกับเขาอย่างไรอย่างนั้น เฉียวเฟิงเองก็มองหน้าเธอ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล : “ลงรถไปเถอะ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็เขย่าปลุกเสียวหว่านชิงที่กำลังหลับลึกอยู่ บอกเธอว่าถึงบ้านแล้ว
หว่านชิงลืมตาขึ้นมาด้วยความสลึมสลือ เธอมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็ถามว่า : “ถึงบ้านแล้วเหรอคะ ? หนูยังไม่ตื่นนอนเลย ”
“เด็กดี พวกเรากลับเข้าบ้านไปทานข้าว อาบน้ำแล้วค่อยนอนต่อดีไหมคะ ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...