เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 251

พวกเขาพักอยู่ในโรงแรมของลอนดอนอีกหนึ่งคืน เช้าวันถัดมาก็ไปดูวิวทิวทัศน์ของลอนดอนในหอคอยชมวิว ยามบ่ายไปรับประทานอาหารขึ้นชื่อของคนท้องถิ่น เสร็จสรรพเฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงจึงตัดสินใจนั่งรถกลับบ้าน

เมื่อกลับมาอยู่บนรถ เสียวหว่านชิงถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่อาลัยอาวรณ์ : “คุณพ่อคุณแม่คะ พวกเราจะกลับแล้วเหรอคะ ?”

“เป็นอะไรไป ? ติดใจไม่อยากกลับบ้านเหรอคะ ?” เฉียวเฟิงถามเธอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

หว่านชิงพยักหน้า : “หนูคิดว่าอยู่ด้านนอกมันสนุกกว่านะคะ”

“เด็กดื้อ พวกเราไม่สามารถเที่ยวเล่นอยู่ด้านนอกไม่กลับบ้านได้หรอกนะ” ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม

“รู้แล้วน่า หนูก็แค่ยังไม่อยากกลับไปนี่นา” เสียวหว่านชิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธอ

“ความจริงแล้วผมก็ยังไม่อยากกลับเหมือนกัน” อยู่ ๆ เฉียวเฟิงก็ยิ้มขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เวลานั้นเธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

เฉียวเฟิงยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของเธอ : “อย่ามองหน้าผมแบบนี้สิ ความจริงแล้วความคิดของผมกับหว่านชิงเหมือนกัน ก็คืออยากให้พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกได้มีความสุขสนุกสนานแบบนี้ตลอดไป ถูกต้องไหมลูกรัก ?” เฉียวเฟิงหันหน้าไปหาหว่านชิง

เสียวหว่านชิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ใช่แล้วค่ะ ไม่ต้องไปโรงเรียน โตขึ้นแล้วไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องแยกจากคุณพ่อคุณแม่”

“ไม่ต้องไปโรงเรียนไม่ต้องทำงานเหรอ ? ถ้างั้นมันต่างอะไรกับคนไร้ค่าล่ะคะ ?” เฉียวเฟิงยิ้มพร้อมพูดขึ้น

“อืม เมื่อวานนี้ไม่รู้ว่าใครบอกเองว่าจะพยายามกลายเป็นคนดังให้ได้” ไป๋มู่ชิงกล่าว

เสียวหว่านชิงยิ้มอย่างเคอะเขินขึ้นมา : “หว่านชิงอยากเป็นคนดังค่ะ”

“เด็กดี ถูกต้องแล้วค่ะ”

หว่านชิงเล่นหยอกล้อกับเฉียวเฟิงอยู่ภายในรถ ส่วนไป๋มู่ชิงก็นั่งมองพวกเขาทั้งคู่อยู่ข้าง ๆ ภายในใจก็เริ่มมีความรู้สึกเศร้าใจผุดขึ้นมาผสมปนเปกันไปหมด ทุกคราที่เห็นพวกเขาทั้งสองคนมีความสุขเฮฮากัน เธอก็มักจะคิดถึงหนานกงเฉินที่อยู่ทางนั้นอยู่เรื่อย ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง สุขภาพร่างกายดีขึ้นมาบ้างหรือยัง ทางบริษัทดีขึ้นมาบ้างหรือยัง และก็……จิตใจสงบนิ่งขึ้นแล้วหรือยัง

ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยากเย็นสำหรับเขาในเวลานี้มาก

“คุณพ่อคะ วันหลังพวกเรายังจะไปเที่ยวด้วยกันเยอะ ๆ อีกไหมคะ ?” อยู่ ๆ เสียวหว่านชิงก็ถามขึ้นมา

เฉียวเฟิงพูดไม่ออก เวลาต่อมาก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้างั้นก็ต้องถามคุณแม่แล้วละครับ ถ้าคุณแม่อยากไปก็ได้เสมอ”

“คุณแม่คะ จะเป็นอย่างนั้นไหมคะ ?” หว่านชิงหันมาสอบถามไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้า : “แน่นอนจ้ะ ขอแค่หว่านชิงเป็นเด็กดีไปตลอด วันหลังพวกเราก็จะไปกันบ่อย ๆ ค่ะ”

“หว่านชิงเป็นเด็กดีมาตลอดเลยนะคะ”

“ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันทุกปีเลย” ไป๋มู่ชิงกล่าวปลอบประโยน

“ดีจังเลย ขอบคุณนะคะคุณแม่ !” หว่านชิงกล่าวด้วยสีน้าอันร่าเริง

“เอาล่ะ เที่ยวเล่นมาทั้งวันเหนื่อยแย่แล้วใช่ไหม” เฉียวเฟิงอุ้มหว่านชิงขึ้นมาบนตัก : “นอนหลับพักผ่อนให้ดี ๆ จากนั้นแปป ๆ ก็จะถึงบ้านแล้วโอเคไหมคะ ?”

“ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า จากนั้นก็หลับตาพริ้มอย่างว่าง่าย

--

หนึ่งชั่วโมงผ่านมา รถยนต์ได้เลี้ยวเข้ามาอยู่แถวบริเวณที่พักเป็นที่เรียบร้อย

ครั้นไป๋มู่ชิงมองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยอยู่ไกล ๆ กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเข้ามาใกล้เธอยิ่งตกตะลึงกว่าเดิมเนื่องจากเงาที่อยู่ตรงนั้นคือหนานกงเฉิน ?

เวลานี้หนานกงเฉินสวมชุดคลุมสีดำยาวปกขนสัตว์ รูปร่างของเขาผอมลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย และซูบลงเล็กน้อยเช่นกัน แม้ตัวเขาตอนนี้จะไม่มีความดุดันและความดูดีมีสไตล์อย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงมีความสดใสเช่นเคยไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด

นัยน์ตาอันคุ้นเคยคู่นั้น ไป๋มู่ชิงมองเห็นแค่แวบเดียวก็ทราบทันทีว่าเวลานี้เขามีความไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง !

ก็จริง ในเวลาเช่นนี้เธอยังคาดหวังให้เขาอารมณ์ดีอีกหรืออย่างไร ?

รถยนต์จอดอยู่เบื้องหน้าเขา ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมา ทว่าเธอไม่ได้ลงรถไป เนื่องจากไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรดี

เธอหันหน้ามองเฉียวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือกับเขาอย่างไรอย่างนั้น เฉียวเฟิงเองก็มองหน้าเธอ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล : “ลงรถไปเถอะ”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็เขย่าปลุกเสียวหว่านชิงที่กำลังหลับลึกอยู่ บอกเธอว่าถึงบ้านแล้ว

หว่านชิงลืมตาขึ้นมาด้วยความสลึมสลือ เธอมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็ถามว่า : “ถึงบ้านแล้วเหรอคะ ? หนูยังไม่ตื่นนอนเลย ”

“เด็กดี พวกเรากลับเข้าบ้านไปทานข้าว อาบน้ำแล้วค่อยนอนต่อดีไหมคะ ?”

“ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า จากนั้นก็ผลักประตูลงรถไปก่อน

ไป๋มู่ชิงยังคงนั่งอยู่ภายในรถ พร้อมนั่งมองหนานกงเฉินที่อยู่เบื้องหน้าของรถยนต์แน่นิ่ง เธอไม่มีความกล้าในการเดินลงรถแล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าเขาจริง ๆ เนื่องจากเธอไม่ทราบว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเขาแล้วควรกล่าวอันใดดี

หว่านชิงลงรถไป หลังจากที่มองเห็นหนานกงเฉินด้วยอาการงัวเงียอยู่นั้น ตาก็สว่างขึ้นสองตาเบิกกว้างขึ้นทันที เธอมองสำรวจเขายกใหญ่จากนั้นก็กล่าวเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอันร่างเริง : “คุณพ่อ……”

คำว่า ‘คุณพ่อ’ เข้ามาอยู่ในจุดลึกสุดของหัวใจหนานกงเฉิน ทั้งชาตินี้นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่มีคนมาเรียกเขาว่าคุณพ่อ อีกทั้งยังเป็นคำเรียกจากลูกสาวแท้ ๆ ของตนเองอีก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกประทับใจขึ้นมา ความโกรธและความหนักอึ้งที่อยู่ในใจจึงสลายหายไปไม่น้อย

เนื่องจากเวลาในการอยู่ด้วยกันนั้นมีไม่เยอะมาก เสียวหว่านชิงไม่ได้สนิทสนมแนบแน่นและเล่นกับเขาอย่างเช่นที่ทำกับเฉียวเฟิง เธอยืนอยู่กับที่พร้อมจ้องมองหน้าเขาอย่างนั้น ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันร่างเริง

หนานกงเฉินสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้า โน้มตัวลงมองเธอ : “หนูเรียกลุงว่าอะไรนะ ?”

“คุณพ่อ……” เสียวหว่านชิงกล่าวต่อด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ : “คุณพ่อเฉียวบอกว่าลุงเฉินเป็นพ่อแท้ ๆ ของหว่านชิงค่ะ”

“งั้นเหรอ ? ถ้างั้นหนูอยากกลับมาอยู่กับพ่อแท้ ๆ ไหมครับ ?” หนานกงเฉินนั่งยองยองอยู่เบื้องหน้าเธอ ฝ่ามืออันใหญ่ลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอไปมา ภายในใจมีทั้งความรู้สึกคาดไม่ถึงและตื่นเต้นดีใจ ครั้นบนใบหน้ากลับแสดงถึงความสงบนิ่งอย่างถึงที่สุดออกมา สงบนิ่งจนทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว

เสียวหว่านชิงมองหน้าเขา จากนั้นก็ส่ายหน้า : “หนูอยากอยู่กับคุณพ่อเฉียวและคุณแม่ค่ะ”

“แต่ว่าคุณแม่จะกลับมาอยู่กับคุณพ่อแล้วนะ” หนานกงเฉินกล่าว

“ใช่เหรอคะ ?” หว่านชิงหันหลังไปมองทะลุกระจกหน้ารถเพื่อมองหน้าไป๋มู่ชิงชั่วครู่ด้วยความไม่เชื่อ : “แต่ว่าคุณแม่บอกพวกเราว่าจากนี้ไปจะพักอยู่กับคุณพ่อเฉียวที่นี่ จะไม่ไปไหนอีกต่อไปแล้วนี่คะ”

“คุณแม่ล้อเล่นน่ะ” ในที่สุดหนานกงเฉินก็ฉีกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นจากพื้น มองหน้าเธอแล้วพูดว่า : “หนูดูสิ ใครจะไม่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองกันล่ะ?”

เสียวหว่านชิงขมวดคิ้ว : “แต่ว่าคุณพ่อเฉียวจะทำยังไงล่ะคะ ? คุณพ่อเฉียวอยู่คนเดียวต้องเหงามาก ๆ แน่เลย”

“หว่านชิง” เฉียวเฟิงลงจากรถด้วยความช่วยเหลือจากคนขับรถ จากนั้นก็กล่าวกับเสียวหว่านชิง : “เข้าไปกับพ่อเฉียวก่อนดีไหมคะ ?”

“ไม่เอา……หนูจะเล่นกับคุณพ่อ หนูไม่เจอหน้าคุณพ่อมานานมากแล้ว แถมหนูยังไม่ถามเลยว่าสุขภาพของคุณพ่อดีขึ้นมาแล้วหรือยังนะคะ !” เสียวหว่านชิงเกาะอยู่บนตัวหนานกงเฉินแน่น พลางส่ายหัวน้อย ๆ ของเธอไป

เฉียวเฟิงจึงกล่าวขึ้นอีกด้วยความใจเย็น : “หนูเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าร่างกายของคุณพ่อดีมากแล้ว อีกอย่างคุณพ่อคุณแม่ไม่เจอกันนานมากเลยอยากคุยกันหน่อย พวกเราอย่ารบกวนพวกเขาดีไหมคะ ?”

เสียวหว่านชิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า : “ก็ได้ค่ะ” เธอหันมาพูดกับหนานกงเฉินว่า : “คุณพ่อคะ ถ้าคุณพ่อคุยกับคุณแม่เสร็จแล้ว อย่าลืมเข้ามาเล่นกับหว่านชิงนะคะ หว่านชิงก็อยากคุยกับคุณพ่อเหมือนกันนะคะ”

“แน่นอน คุณพ่อก็อยากคุยกับหว่านชิงเหมือนกันค่ะ” หนานกงเฉินบีบปลายจมูกเล็ก ๆ ของเธอ จากนั้นก็ปล่อยเธอลงจากอ้อมกอด

เสียวหว่านชิงเข้าไปในบ้านพร้อมกับเฉียวเฟิงอย่างว่านอนสอนง่าย เวลานี้หน้าประตูมีเพียงหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงที่ยังคงนั่งอยู่ภายในรถยนต์แน่นิ่งไม่ขยับไม่ไหนเช่นเคย

ทั้งสองคนสบตากันผ่านหน้าต่างรถยนต์อยู่เนิ่นนาน ครั้นไป๋มู่ชิงยังคงไม่ลงมาจากในรถ สุดท้ายหนานกงเฉินจึงสาวเท้าเดินเข้ามา จากนั้นก็เปิดประตูที่นั่งด้านหลังออกแล้วเข้าไปนั่ง

ไม่ได้กล่าวทักทาย ไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบ หนานกงเฉินโน้มตัวเข้าไปขึ้นคล่อมเธอบนที่นั่งรถจากนั้นก็ประกบปากพรมจูบเธอ

ความคิดถึงและความเป็นกังวลที่เก็บกดมาหลายวันอยู่ภายในรอยจูบนี้ของหนานกงเฉินแล้ว ไป๋มู่ชิงเองก็ได้รับความปลดปล่อยเช่นกันในทันที เวลานี้เธอถึงขั้นลืมสถานะของตนเองในปัจจุบันไปแล้วชั่วขณะ ลืมคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับเฉียวซือเหิง รวมถึงความสัมพันธ์ของเฉียวเฟิงด้วย

ในเวลานี้เธอเพียงอยากกอดเขาไว้อย่างร้อนแรง จูบเขากลับ และเธอก็ทำเช่นนี้จริง ๆ

เมื่อได้รับการตอบสนองจากเธอ ภายในใจของหนานกงเฉินก็ยิ่งเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่พรมจูบเธออย่างลึกซึ้งอยู่นั้น ฝ่ามือของเขาก็ลูบไล้เข้าไปในเสื้อของเธออย่างเร่าร้อนครั้นยังคงมีความนุ่นนวลอยู่

จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความเย็นของร่างกาย สติสัมปชัญญะของไป๋มู่ชิงจึงฟื้นกลับมาเล็กน้อย มือเล็ก ๆ ของเธอจับใบหน้าของเขาเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้นเสียงหอบ : “เฉิน เฉิน……พวกเราจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่ได้……”

“ทำไมทำไม่ได้ ?” หนานกงเฉินเองก็หายใจหอบเช่นกัน นัยน์ตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความปรารถนา

“ฉันไม่อยากปฏิเสธว่าตนเองไม่คิดถึง ไม่รักคุณอีกต่อไป แต่ฉันไม่สามารถทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมแบบนี้ได้เหมือนกันนะ ตอนนี้ฉันเป็นคนของเฉียวเฟิง ฉัน……”

“เฉียวเฟิงเขามีคุณธรรมงั้นเหรอ ? เขาใช้โรคของฉันในการบีบบังคับให้เธอกลับมาอยู่ข้างกายเขา เขามีคุณธรรมหรือไง ?” หนานกงเฉินตะคอกเสียงดังด้วยบันดาลโทสะ

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ไม่ เรื่องนี้จะโทษเฉียวเฟิงไม่ได้ เป็นเรื่องที่ฉันเลือกเองเพราะว่าฉันอยากให้คุณมีชีวิตที่ดี ๆ ต่อไป เฉิน……คุณรู้ไหมตอนที่ฉันเห็นคุณยืนอยู่อย่างมีลมหายใจเมื่อกี้ฉันดีใจและตื่นใจแค่ไหน ? ฉันไม่อยากเชื่อในสายตาของฉันเลยนะ……วันนั้นคุณหมอบอกฉันว่าชีพจรของคุณอ่อนมาก อีกไม่นานก็จะทนไม่ไหวแล้ว จากนั้นเฉียวซือเหิงก็โผล่หน้ามา เขาเป็นคนนำพาความหวังของชีวิตคุณมานะ ตอนนั้นอย่าพูดแค่ว่าให้ฉันออกจากคุณแล้วมาอยู่ข้างกายเฉียวเฟิงเลย ต่อให้เอาชีวิตของฉันไป ฉันก็ยินยอมอย่างเต็มใจเลย……”

คำพูดหลังของเธอ ถูกหนานกงเฉินใช้ลิ้นอุดกลับไปแล้ว และรอยจูบอันเร่าร้อนของทั้งสองคนก็เริ่มต้นขึ้นอีกครา

“ฉันรู้ ฉันเข้าใจ……” หนานกงเฉินคลายริมฝีปากออก จากนั้นก็พรมจูบไปยังใบหูของเธอพร้อมกระซิบว่า : “เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง ไม่ต้องห่วง……”

“คุณจะจัดการยังไง ?” ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยน้ำตา : “ชีวิตของคุณเฉียวซือเหิงเป็นคนช่วยเหลือมานะ นี่มันคือเรื่องจริง……”

“ตราบใดที่เธอรักฉัน ฉันก็จะหาวิธี” หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นก็ใช้มือปาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอออก : “ขอแค่เธอไม่หลบฉันเหมือนอย่างเมื่อก่อนและไม่ยอมรับว่าตัวเองรักฉันก็พอแล้ว”

ไป๋มู่ชิงกระพริบดวงตาทั้งสองข้าง น้ำตาไหลรินลงอีกครา เธอมองหน้าเขาแล้วพูดว่า : “รับปากฉันนะ ว่าอย่าทำร้ายเฉียวเฟิงจนเกินไป”

“เธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่เหรอ ?”

“พวกเขาสองคนพี่น้องช่วยเหลือชีวิตของเราสามคนพ่อแม่ลูกนะ”

ประเด็นนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ หนานกงเฉินพยักหน้า : “ฉันเข้าใจ”

หนานกงเฉินโอบเธอเข้าสู่อ้อมแขนจากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น เขารู้ว่าจิตใจของเธอมีเมตตา ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะบุญคุณของเฉียวเฟิงเธอไม่สามารถลืมเลือนได้มาโดยตลอด ดังนั้นสำหรับเฉียวเฟิง เพื่อเป็นการทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมา เขาจะไม่มีทางเอาคืนเขาแต่อย่างใด !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด