เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 255

หนานกงเฉินขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน เสียวหว่านชิงที่กำลังเล่นซนอยู่ภายในสวนดอกไม้เห็นรถของเขาจึงรีบวิ่งพุ่งเข้ามาหาพร้อมร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม : “คุณพ่อกลับมาแล้ว !”

หนานกงเฉินเปิดประตูรถออก พร้อมหันหลังไปมองจึงพบกับร่างน้อย ๆ ของเสียวหว่านชิงกำลังวิ่งเข้ามา บนใบหน้าจึงผุดเป็นรอยยิ้มอบอุ่นจาง ๆ ขึ้นมาทันที เขาอ้าสองแขนออกเพื่อโอบกอดร่างน้อย ๆ ของเธอ

เรื่องที่มีความสุขที่สุดของชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ การที่มีคนในครอบครัวสุดที่รักรอคอยและต้อนรับตนเองกลับมาบ้าน ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยมีมาก่อนเลย

“วันนี้อยู่บ้านเป็นเด็กดีไหมคะ ?” หนานกงเฉินอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็จูบไปยังแก้มน้อย ๆ ของเธอ : “ชอบอยู่ที่นี่ไหมคะ ?”

“ชอบค่ะ ที่นี่ใหญ่มากเลยและมีหลายคนเล่นเป็นเพื่อนหนูด้วย” เสียวหว่านชิงพยักหน้าหงึก ๆ พร้อมกล่าว

คุณผู้หญิงที่เดินตามมาเบื้องหลังของเธอนั้นจึงยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “ตอนนี้รู้สึกสนุก ผ่านไปอีกหลายวันเมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ผ่านไปแล้ว เห็นทีว่าคงไม่รู้สึกสนุกแล้วละมั้ง”

“เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ผ่านไปแล้ว หว่านชิงก็น่าจะชินแล้วละครับ” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความสบาย ๆ กล่าวจบจึงถามหว่านชิงว่า : “คุณแม่ล่ะคะ ?”

“คุณแม่ทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวค่ะ”

“งั้นเหรอคะ ?”

“ค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณแม่จะทำกับข้าวให้คุณพ่อกินด้วยฝีมือตัวเอง”

“โอ้ว คุณแม่นี่เป็นเด็กดีจริง ๆ พ่อไปดูคุณแม่สักหน่อยนะ” หนานกงเฉินวางเสียวหว่านชิงลงบนพื้น จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าตัวบ้านไป

เธอเห็นไป๋มู่ชิงกำลังเรียนรู้การทำกับข้าวกับเชฟอยู่ในห้องครัวจริง ๆ เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นหนานกงเฉินเดินเข้ามา จึงยิ้มพร้อมถามขึ้นว่า : “คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ?”

“อืม หอมจังกำลังทำอะไรอร่อย ๆ ทานอยู่เหรอ ?” หนานกงเฉินก้าวมายืนอยู่ข้างกายเธอ จากนั้นก็ยื่นคอมองไปยังหม้อ

“อันนี้เชฟใหญ่เขาทำน่ะ ฉันก็แค่มาวุ่นวายเท่านั้น” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้นอย่างเคอะเขิน

เชฟใหญ่ที่อยู่ในห้องครัวจึงยิ้มพลางกล่าวด้วยความหยอกล้อว่า : “คุณชายใหญ่ไม่เคยเดินเข้ามาในห้องครัวมาก่อนเลย ต้องยกความดีความชอบให้นายหญิงน้อยแท้ ๆ วันนี้คุณชายใหญ่เลยเข้ามาเดินเล่นในห้องครัวแล้ว”

“อย่างนั้นเหรอคะ ? มิน่าล่ะแค่บะหมี่ก็ทำไม่เป็น” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าสบตาหนานกงเฉินพร้อมกล่าว

“ฉันคิดว่าบะหมี่ที่ฉันทำเองอร่อยมาก” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความไม่ยอมแพ้ : “อีกอย่างสามปีมานี้ก็มีความพัฒนาขึ้นด้วย”

“งั้นเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงทำสีหน้าฉงนสงสัย

“แน่นอนสิ อยากให้ฉันลองทำให้เธอชิมดูสักวันไหมล่ะ ?”

“ได้เลย” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

--

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว จึงพากันดื่มน้ำชาพูดคุยอยู่ในห้องรับแขกต่อ

คุณผู้หญิงกวาดสายตามองพ่อแม่ลูกที่นั่งอยู่บนโซฟายาว มองดูหว่านชิงและหนานกงเฉินกำลังหัวเราะเฮฮากันอยู่อย่างสนุกสนาน จึงยิ้มขึ้นตาม : “ในที่สุดคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลหนานกงก็มีคนกันเองมาพักกันทั้งหมดเสียที ดีจริง ๆ เลย !”

คิด ๆ ดูแล้วเมื่อครั้งอดีตแม้จะมีคนอาศัยอยู่มาก ครั้นก็เป็นคนต่างนามสกุลกันทั้งนั้น ต่อให้คึกครื้นเพียงใดภายในใจก็ว่างเปล่าอยู่ดี

เธอไม่เคยเห็นหนานกงเฉินหัวเราะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเช่นตอนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แค่เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นรอยยิ้มที่มาจากภายในจิตใจจริง ๆ !

“คุณผู้หญิงคะ จากนี้ไปในบ้านหลังนี้ก็จะคึกคักยิ่งกว่าเดิมอีกนะคะ” พี่เหอกล่าว

“อืม นั่นมันแน่อยู่แล้ว” คุณผู้หญิงพยักหน้า

“คุณย่ารอก่อนนะครับ มู่ชิงบอกว่ายังอยากมีหลานตัวน้อยอีกสองคนด้วยนะ” หนานกงเฉินโอบเสียวหว่านชิงผู้ซุกซนพร้อมพูดขึ้น

“อย่างนั้นเหรอ ? ถ้างั้นก็ดีจริง ๆ เลยนะ” คุณผู้หญิงมองหน้าไป๋มู่ชิงพร้อมกล่าวว่า : “แค่มู่ชิงยินยอม จะ10 คนหรือ 20 คนฉันก็ไม่คิดว่าเยอะเลย”

“คุณย่าครับ 10 คน 20 คนพวกเราจะเอาอะไรมาเลี้ยงครับเนี่ย ” หนานกงเฉินตอบกลับเธอทันควัน ทันใดนั้นสีหน้าของคุณผู้หญิงก็หมองลงทันที เวลาต่อมาก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเศร้าใจ : “เฮ้อ ตอนนี้บริษัทถูกไอ้เซิ่งเคอนั่นเอาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ต้องพูดว่า 20 คนหรอก สองหมื่นคนพวกเราก็เลี้ยงไหว”

เมื่อพูดถึงเรื่องบริษัท บรรยากาศก็เงียบงันลงทันที ไป๋มู่ชิงหันหน้ามองหนานกงเฉิน อันที่จริงเธอเองก็อยากถามเขาเช่นกันว่าบริษัทย่ำแย่จนถึงขั้นไหน ทว่าเธอเกรงว่าเขาจะกลัดกลุ้มใจจึงไม่กล้าถาม

หลังจากที่หนานกงเฉินเงียบไปสักพักจึงกล่าวกับคุณผู้หญิงว่า : “คุณย่าครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณย่าพอดีเลยครับ”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาสลับกับมองหน้าคุณผู้หญิง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า : “ถ้างั้นพวกคุณคุยกันไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันพาหว่านชิงกลับห้องไปอาบน้ำก่อน”

สิ้นเสียงเธอก็จูงมือหว่านชิงขึ้นชั้นบนไป

--

เมื่อคุณผู้หญิงทราบจากปากหนานกงเฉินว่าตนนั้นได้ตกหลุมพรางถูกผู้อื่นหลอกเข้าแล้ว จึงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พูดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง สีหน้าพลางเปลี่ยนแปลงไปในทันที

“แกบอกว่า……ฉันถูกไอ้เวรเซิ่งตงหยางหลอกเข้างั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงอ้าปากถามอย่างสับสนงุนงง จากนั้นจึงยืนขึ้นจากโซฟาพร้อมตะคอกเสียงดังด้วยบันดาลโทสะ : “ฉัน……ฉันจะไปคิดบัญชีกับมันเอง !”

“คุณย่าครับอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยครับ” หนานกงเฉินกล่าวปลอบประโยน และส่งสัญญาณบอกให้พี่เหอพยุงเธอนั่งลงโซฟาพร้อมกล่าวว่า : “ผมไม่กล้าบอกความจริงเรื่องนี้กับคุณย่ามาโดยตลอด ก็เพราะกลัวว่าคุณย่าจะสะเทือนจิตใจแล้วกระทบกับสุขภาพร่างกาย”

ความจริงเรื่องนี้ทำให้คุณผู้หญิงได้รับความสะเทือนใจไม่น้อยจริง ๆ เธอนั่งลงบนโซฟาตามเดิมอย่างช้า ๆ

เมื่อก่อนเธอยังคิดว่าการใช้หุ้นส่วน 15% ในการแลกกับชีวิตของหนานกงเฉินนั้นคุ้มค่ามาก ครั้นคิดไม่ถึงว่าเฉินนั้นไม่ใช่เซิ่งตงหยางที่ช่วยเหลือชีวิตมาโดยสิ้นเชิง เขาหลอกเอาบริษัทไปเกินครึ่งหนึ่งไปโดยฟรี ๆ

“คุณย่าครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะคิดหาวิธีนำหุ้นส่วนนั้นกลับมาให้ได้”

“แกจะเอามายังไงล่ะ ? คงไม่ใช่ว่าไปฆ่าไอ้เวรนั่นหรอกใช่ไหม ?” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็ร้องไห้โฮออกมา

บริษัทที่อยู่มาดี ๆ ถูกเขาผู้นั้นฮุบเอาไปชั่วพริบตา เธอจะไม่โศกเศร้าเสียใจได้อย่างไร ? อีกทั้งยังเป็นรากฐานธุรกิจที่สืบทอดกันมาเป็นหลายปีของตระกูลหนานกงเชียว ! เธอใช้มือเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกผิดว่า : “ขอโทษ……เฉิน……ย่าแก่จนสมองไม่ดีแล้วเลยถูกหลอกได้ ย่านี่โง่จริง ๆ เลย……”

“คุณย่าครับ……การที่ผมบอกความจริงให้คุณย่าฟังไม่ได้มีเจตนาที่จะตำหนิคุณย่านะครับ แต่เพื่ออยากจะมาปรึกษาหารือกับคุณย่าเรื่องของวิธีกู้สถานการณ์”

“แกมีวิธีอะไร ?” คุณผู้หญิงสอบถามพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด