ทั้งคู่นัวเนียกันอยู่ในห้องอาบน้ำอยู่นานสองนาน หนานกงเฉินเป็นห่วงว่าเธอจะหนาวเหน็บจึงคว้าเธอขึ้นจากน้ำ จากนั้นก็อุ้มเธอออกจากห้องอาบน้ำพร้อมทั้งเดินไปขึ้นยังเตียงขนาดใหญ่
ขณะที่หนานกงเฉินกำลังต้องการจะเสพสุขอีกครา ทันใดนั้นเองหน้าประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา ต่อจากนั้นก็มีเสียงของหว่านชิงดังเข้ามา : “คุณพ่อคุณแม่นอนหรือยังคะ ?”
หนานกงเฉินหยุดชะงักไปทันที ไป๋มู่ชิงเองก็ฟื้นสติขึ้นจากอารมณ์พิศวาส ทั้งสองคนสบตากันจากนั้นหนานกงเฉินก็ตะโกนขึ้นว่า : “หลับแล้ว หว่านชิงก็รีบไปเข้านอนได้แล้วนะ ราตรีสวัสดิ์”
“หนูนอนคนเดียวไม่หลับค่ะ หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่” หว่านชิงกล่าว
“พูดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอคะ ? หว่านชิงโตแล้วนะ จะต้องเรียนรู้ในการนอนคนเดียวได้แล้ว”
“ไม่เอา หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่นี่นา” หว่านชิงกล่าวขึ้นด้วยความดื้อดึง
ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าที่เหี่ยวแห้งของหนานกงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เธอกล่าวว่า : “หว่านชิงนอนกับฉันมาตั้งแต่เล็กจนชินแล้ว พอมาแยกห้องกะทันหันแบบนี้จะต้องไม่ชินแน่นอนค่ะ”
เมื่อคืนวานนี้เธอมีความรู้สึกตื่นเต้นกับห้องเจ้าหญิงไปแล้ว ครั้นวันนี้กลับไม่สนใจห้องนั้น โวยวายอยากมานอนกับคุณแม่เสียแล้ว
หนานกงเฉินรู้สึกเอือมละอา ทำได้เพียงคลายไป๋มู่ชิงออกแล้วพลิกตัวลงจากเตียงไป จากนั้นก็หยิบชุดนอนของทั้งสองคนออกมาจากตู้เสื้อผ้า เขาสวมเสื้อผ้าไปพร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจไป : “เด็กน้อยต่างก็ไม่รู้จักกาลเทศะกันหมดเลยใช่ไหม ? ถ้าใช่ฉันขอแนะนำว่ามีให้น้อย ๆ หรือไม่ต้องมี……”
ไป๋มู่ชิงหัวเราะคิกคักขึ้นมา : “ดูคุณสิทำสีหน้าอะไรนั่น คุณเองนะที่ไปตามหว่านชิงกลับมาจากอังกฤษ”
“หรือว่า……พวกเราจะส่งลูกกลับไปอีกครั้งดี ?” หนานกงเฉินกวาดสายตามองไปยังประตู จากนั้นก็ยิ้มตาหยีขึ้นมาพร้อมพรมจูบไปยังริมฝีปากของไป๋มู่ชิง
“ดีเลย คุณตัดใจได้เหรอคะ ?”
หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ สุดท้ายยังคงเดินไปเปิดประตูอย่างว่าง่ายอยู่ดี
เสียวหว่านชิงที่ไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รับรู้โดยสิ้นเชิงว่าภายในห้องนอนนั้นมีบรรยากาศของความพิศวาสอยู่ เธอเดินผ่านตัวหนานกงเฉินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็วิ่งเข้าหาเตียงขนาดใหญ่พร้อมหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า : “หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่”
สิ้นเสียงเธอปีนขึ้นเตียงใหญ่ไปแล้วนอนลงอย่างไม่มีความเกรงใจ ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางห่มผ้าให้เธอเสร็จสรรพ : “ค่ะ……นอนกับคุณพ่อคุณแม่นะคะ”
หนานกงเฉินปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามา ขณะที่เดินมาอยู่ข้าง ๆ ไป๋มู่ชิงและกำลังจะทิ้งตัวนอนลงไปนั้น เสียวหว่านชิงกลับตบที่นอนข้าง ๆ ตนเองแล้วกล่าวว่า : “คุณพ่อคะ มานอนตรงนี้ค่ะ ไม่อย่างนั้นหว่านชิงจะตกเตียงนะคะ”
หนานกงเฉินชะงักไปชั่วครู่ พลางมองไปยังอีกฟากของเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยว่า ‘อ้อ’ ขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนัก พร้อมพลิกตัวลงจากเตียงแล้วเดินอ้อมไป
ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าอันเอือมละอาของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มขึ้นมา
ในที่สุดเสียวหว่านชิงที่นอนอยู่ตรงกลางนั้นก็พึงพอใจขึ้นมาแล้วเสียที เธอหลับตาลงแสร้งทำเป็นนอนหลับ
หนานกงเฉินใช้มือไปกระตุกตุ๊กตาจากอ้อมกอดของเธอ พร้อมจงใจกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า : “หนูมีตุ๊กตาน้อยนอนเป็นเพื่อนแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? ทำไมต้องอยากมานอนกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย ?”
“เพราะว่าหนูรักคุณพ่อคุณแม่ หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่ยังไงล่ะคะ” เสียวหว่านชิงปากหวานกล่าวเอาใจ แค่คำพูดเดียวนี้ทำให้หนานกงเฉินโต้ตอบกลับไม่ได้ จึงทำได้เพียงนอนลงไปข้างกายของเธอด้วยความไม่พอใจนัก
เสียวหว่านชิงรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเขา จึงจ้องหน้าเขาด้วยสายตาอันน่าสงสารแล้วพูดขึ้นว่า : “คุณพ่อ……คุณพ่อไม่อยากนอนกับหว่านชิงเหรอคะ ?”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ” หนานกงเฉินยิ้มพลางยื่นมือไปลูบเส้นผมของเธอ
“แล้วทำไมคุณพ่อถึงทำหน้าไม่พอใจล่ะคะ ?”
“เพราะว่า……” หนานกงเฉินไม่ทราบว่าควรจะอธิบายเรื่องแบบนี้ให้เธอฟังอย่างไรดี จึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “รอให้หว่านชิงโตขึ้นแล้วก็จะเข้าใจเองค่ะ”
“อ้อ” หว่านชิงพยักหน้า
“เด็กดี รีบนอนนะคะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มพร้อมเร่งรัดให้เธอนอนหลับเร็ว ๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปปิดไฟหัวเตียง
พลังแห่งความพิศวาสภายในร่างกายของหนานกงเฉินสลายไป ความห่อเหี่ยวใจก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เข้ามาแทนที่นั้นก็คือความรู้สึกอันพึงพอใจอย่างสุดซึ้ง ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันนั้นมันแปลกใหม่และมีค่าอย่างยิ่งสำหรับเขา
--
หนานกงเฉินวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องของหุ้นส่วนบริษัท ส่วนในตอนกลางวันไป๋มู่ชิงก็พาหว่านชิงไปหาเหยาเหม่ย เมื่อเจอหน้ากันเหยาเหม่ยจึงอุ้มหว่านชิงด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นและประหลาดใจพร้อมทั้งเดินไปเดินมา เธอตะโกนขึ้นว่า : “แม่เจ้า ลูกสาวของเธอโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ช่างเป็นความพยายามชั่วพริบตาจริง ๆ เลย……!”
“อืม ตอนนั้นต้องขอบคุณเสี่ยวซี่แท้ ๆ ที่ช่วยเหลือชีวิตหว่านชิงมา” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นพลางกล่าว
เหยาเหม่ยวางหว่านชิงลง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ : “ถ้างั้นครั้งที่แล้วตอนที่หนานกงเฉินมาหาฉันกับเสี่ยวอี้กับเธอ เธอจำฉันไม่ได้จริง ๆ หรือว่าจำไม่ได้หลอก ๆ เหรอ ?”
“จำไม่ได้จริง ๆ น่ะสิ” ไป๋มู่ชิงกล่าว
เมื่อกล่าวถึงเสี่ยวอี้ ในใจของเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เดิมทีวางแผนว่าจะหาเวลาไปเมืองเหยียนด้วยกันสักวันสองวัน แต่เนื่องจากไม่วางใจหนานกงเฉินและคุณผู้หญิง เพราะตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญของศึกชิงหุ้นส่วนระหว่างหนานกงเฉินและเซิ่งตงหยาง
“จริงสิ พักนี้ติดต่อซูซี่ไม่ได้เลย คงไม่ใช่ว่าออกนอกประเทศไปอีกแล้วใช่ไหม ?” อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็ถามขึ้น
เหยาเหม่ยยักไหล่ : “ตอนที่ติดต่อเขาไม่ได้ ส่วนมากก็คงเพราะไปต่างประเทศแล้วนั่นแหละ”
“แต่ว่าทั้งที่เขาบอกฉันไว้แล้วว่าครั้งนี้จะไม่ไปนะ แต่อยู่ ๆ วันถัดมาก็ติดต่อไม่ได้เสียแล้ว”
“ถ้างั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันไม่สามารถติดต่อเฉียวซือเหิงได้ ถ้าอย่างนั้นเธอติดต่อเขาแล้วถามดูหน่อยดีไหม” เธอกลับประเทศมาหลายวันแล้วครั้นยังไม่มีความกล้าที่จะไปเจอหน้าเฉียวซือเหิงอยู่ดี เนื่องจากเธอเป็นผู้ที่ทำลายพันธสัญญาระหว่างเธอและเขา ครั้นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจนั่นก็คือ เฉียวซือเหิงไม่ได้มาพบเธอ แม้แต่โทรมาตำหนิสักสายก็ไม่มี
“ติดต่อเฉียวซือเหิงงั้นเหรอ ?” เหยาเหม่ยทำสีหน้าที่หวาดกลัวขึ้นมาทันที : “ฉันไม่กล้าหรอก”
“กลัวอะไร ? ก็แค่ถามไปว่าซูซี่อยู่ไหน เขาไม่กินเธอหรอก”
ขณะที่เหยาเหม่ยโทรไปหาเฉียวซือเหิงนั้น เฉียวซือเหิงเพิ่งกลับจากบริษัทถึงบ้านแล้วพอดิบพอดี เขาใช้มือหนึ่งปลดเนคไทที่คอเสื้อพร้อมกล่าวขึ้นถามว่า : “สวัสดีครับ ใครครับ ?”
“คุณชายเฉิน……ฉันคือเหยาเหม่ยค่ะ ฉันอยากคุยกับ……ซูซี่” เหยาเหม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน
“คุณอยากคุยกับเสี่ยวซี่เหรอ ?” เฉียวซือเหิงชายตามองประตูห้องนอนที่กำลังส่งเสียง ‘ปัง ๆ’ พร้อมกล่าวว่า : “เสี่ยวซี่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ ไม่สะดวกติดต่อพวกคุณ เดี๋ยวอีกสองสามวันผมจะให้เขาติดต่อพวกคุณไปก็แล้วกัน”
“ฮะ ? เตรียม……เตรียมตัวตั้งครรภ์เหรอคะ ?” เหยาเหม่ยอ้าปากค้างพูดทวนคำพูดของเขาด้วยความพูดอะไรไม่ออก
ซูซี่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านงั้นหรือ ? พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วสินะ ?
“ทำไมเหรอ ? แม้แต่คุณเองก็คิดว่าไม่สมควรเหรอ ?” น้ำเสียงของเฉียวซือเหิงเย็นยะเยือกขึ้น
เหยาเหม่ยรีบส่ายหน้าทันควัน : “ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ ฉันแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซี่จะคิดได้แล้วตัดสินใจเตรียมตั้งครรภ์น่ะค่ะ……”
ยังไม่ทันให้เธอได้พูดจบ เฉียวซือเหิงได้กดวางสายไปเรียบร้อยแล้ว
ไป๋มู่ชิงที่ได้ยินเนื้อหาครึ่งหนึ่งเห็นเหยาเหม่ยวางสายแล้วจึงรีบซักถามทันที : “หมายความว่ายังไง ? เสี่ยวซี่เตรียมตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ ?”
“เฉียวซือเหิงบอกมาแบบนั้น”
“แต่ต่อให้เตรียมตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านก็ไม่เห็นต้องตัดขาดจากโลกภายนอกเลยนี่ ? อีกอย่างตอนที่เตรียมตั้งครรภ์นั้นอารมณ์สำคัญที่สุด ควรต้องติดต่อพวกเราเยอะ ๆ ต้องออกมาเดินเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ถึงจะถูกต้อง”
“อืม พูดมีหลักการ” เหยาเหม่ยพยักหน้าหงึก ๆ จากนั้นก็หันไปอุ้มหว่านชิงที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา : “แต่ว่าก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะ เธอดูสิตอนนั้นเธอสำเร็จการตั้งครรภ์ภายใต้คราบน้ำตานะ แต่ก็ยังคลอดหว่านชิงออกมาได้ทั้งสวยและน่ารักแบบนี้ด้วย”
“ฉันคิดว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับซูซี่”
“คงไม่ใช่ว่าเฉียวซือเหิงพลั้งมือ……จัดการเธอสิ้นแล้วใช่ไหม ?” เหยาเหม่ยใช้มือวาดตรงลำคอตนเอง ไป๋มู่ชิงตกใจในความคิดของเธอจนสีหน้าซีดเซียว จากนั้นก็ส่ายหน้าตามสันชาตญาณทันที : “จะเป็นไปได้ยังไง”
“แหะ ๆ……ก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ” เหยาเหม่ยทราบว่าตนเองพูดน่ากลัวไปหน่อย เธอจึงยักไหล่จากนั้นก็ปิดปากเงียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...