เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 256

ทั้งคู่นัวเนียกันอยู่ในห้องอาบน้ำอยู่นานสองนาน หนานกงเฉินเป็นห่วงว่าเธอจะหนาวเหน็บจึงคว้าเธอขึ้นจากน้ำ จากนั้นก็อุ้มเธอออกจากห้องอาบน้ำพร้อมทั้งเดินไปขึ้นยังเตียงขนาดใหญ่

ขณะที่หนานกงเฉินกำลังต้องการจะเสพสุขอีกครา ทันใดนั้นเองหน้าประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา ต่อจากนั้นก็มีเสียงของหว่านชิงดังเข้ามา : “คุณพ่อคุณแม่นอนหรือยังคะ ?”

หนานกงเฉินหยุดชะงักไปทันที ไป๋มู่ชิงเองก็ฟื้นสติขึ้นจากอารมณ์พิศวาส ทั้งสองคนสบตากันจากนั้นหนานกงเฉินก็ตะโกนขึ้นว่า : “หลับแล้ว หว่านชิงก็รีบไปเข้านอนได้แล้วนะ ราตรีสวัสดิ์”

“หนูนอนคนเดียวไม่หลับค่ะ หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่” หว่านชิงกล่าว

“พูดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอคะ ? หว่านชิงโตแล้วนะ จะต้องเรียนรู้ในการนอนคนเดียวได้แล้ว”

“ไม่เอา หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่นี่นา” หว่านชิงกล่าวขึ้นด้วยความดื้อดึง

ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าที่เหี่ยวแห้งของหนานกงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เธอกล่าวว่า : “หว่านชิงนอนกับฉันมาตั้งแต่เล็กจนชินแล้ว พอมาแยกห้องกะทันหันแบบนี้จะต้องไม่ชินแน่นอนค่ะ”

เมื่อคืนวานนี้เธอมีความรู้สึกตื่นเต้นกับห้องเจ้าหญิงไปแล้ว ครั้นวันนี้กลับไม่สนใจห้องนั้น โวยวายอยากมานอนกับคุณแม่เสียแล้ว

หนานกงเฉินรู้สึกเอือมละอา ทำได้เพียงคลายไป๋มู่ชิงออกแล้วพลิกตัวลงจากเตียงไป จากนั้นก็หยิบชุดนอนของทั้งสองคนออกมาจากตู้เสื้อผ้า เขาสวมเสื้อผ้าไปพร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจไป : “เด็กน้อยต่างก็ไม่รู้จักกาลเทศะกันหมดเลยใช่ไหม ? ถ้าใช่ฉันขอแนะนำว่ามีให้น้อย ๆ หรือไม่ต้องมี……”

ไป๋มู่ชิงหัวเราะคิกคักขึ้นมา : “ดูคุณสิทำสีหน้าอะไรนั่น คุณเองนะที่ไปตามหว่านชิงกลับมาจากอังกฤษ”

“หรือว่า……พวกเราจะส่งลูกกลับไปอีกครั้งดี ?” หนานกงเฉินกวาดสายตามองไปยังประตู จากนั้นก็ยิ้มตาหยีขึ้นมาพร้อมพรมจูบไปยังริมฝีปากของไป๋มู่ชิง

“ดีเลย คุณตัดใจได้เหรอคะ ?”

หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ สุดท้ายยังคงเดินไปเปิดประตูอย่างว่าง่ายอยู่ดี

เสียวหว่านชิงที่ไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รับรู้โดยสิ้นเชิงว่าภายในห้องนอนนั้นมีบรรยากาศของความพิศวาสอยู่ เธอเดินผ่านตัวหนานกงเฉินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็วิ่งเข้าหาเตียงขนาดใหญ่พร้อมหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า : “หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่”

สิ้นเสียงเธอปีนขึ้นเตียงใหญ่ไปแล้วนอนลงอย่างไม่มีความเกรงใจ ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางห่มผ้าให้เธอเสร็จสรรพ : “ค่ะ……นอนกับคุณพ่อคุณแม่นะคะ”

หนานกงเฉินปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามา ขณะที่เดินมาอยู่ข้าง ๆ ไป๋มู่ชิงและกำลังจะทิ้งตัวนอนลงไปนั้น เสียวหว่านชิงกลับตบที่นอนข้าง ๆ ตนเองแล้วกล่าวว่า : “คุณพ่อคะ มานอนตรงนี้ค่ะ ไม่อย่างนั้นหว่านชิงจะตกเตียงนะคะ”

หนานกงเฉินชะงักไปชั่วครู่ พลางมองไปยังอีกฟากของเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยว่า ‘อ้อ’ ขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนัก พร้อมพลิกตัวลงจากเตียงแล้วเดินอ้อมไป

ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าอันเอือมละอาของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มขึ้นมา

ในที่สุดเสียวหว่านชิงที่นอนอยู่ตรงกลางนั้นก็พึงพอใจขึ้นมาแล้วเสียที เธอหลับตาลงแสร้งทำเป็นนอนหลับ

หนานกงเฉินใช้มือไปกระตุกตุ๊กตาจากอ้อมกอดของเธอ พร้อมจงใจกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า : “หนูมีตุ๊กตาน้อยนอนเป็นเพื่อนแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? ทำไมต้องอยากมานอนกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย ?”

“เพราะว่าหนูรักคุณพ่อคุณแม่ หนูอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่ยังไงล่ะคะ” เสียวหว่านชิงปากหวานกล่าวเอาใจ แค่คำพูดเดียวนี้ทำให้หนานกงเฉินโต้ตอบกลับไม่ได้ จึงทำได้เพียงนอนลงไปข้างกายของเธอด้วยความไม่พอใจนัก

เสียวหว่านชิงรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเขา จึงจ้องหน้าเขาด้วยสายตาอันน่าสงสารแล้วพูดขึ้นว่า : “คุณพ่อ……คุณพ่อไม่อยากนอนกับหว่านชิงเหรอคะ ?”

“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ” หนานกงเฉินยิ้มพลางยื่นมือไปลูบเส้นผมของเธอ

“แล้วทำไมคุณพ่อถึงทำหน้าไม่พอใจล่ะคะ ?”

“เพราะว่า……” หนานกงเฉินไม่ทราบว่าควรจะอธิบายเรื่องแบบนี้ให้เธอฟังอย่างไรดี จึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “รอให้หว่านชิงโตขึ้นแล้วก็จะเข้าใจเองค่ะ”

“อ้อ” หว่านชิงพยักหน้า

“เด็กดี รีบนอนนะคะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มพร้อมเร่งรัดให้เธอนอนหลับเร็ว ๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปปิดไฟหัวเตียง

พลังแห่งความพิศวาสภายในร่างกายของหนานกงเฉินสลายไป ความห่อเหี่ยวใจก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เข้ามาแทนที่นั้นก็คือความรู้สึกอันพึงพอใจอย่างสุดซึ้ง ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันนั้นมันแปลกใหม่และมีค่าอย่างยิ่งสำหรับเขา

--

หนานกงเฉินวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องของหุ้นส่วนบริษัท ส่วนในตอนกลางวันไป๋มู่ชิงก็พาหว่านชิงไปหาเหยาเหม่ย เมื่อเจอหน้ากันเหยาเหม่ยจึงอุ้มหว่านชิงด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นและประหลาดใจพร้อมทั้งเดินไปเดินมา เธอตะโกนขึ้นว่า : “แม่เจ้า ลูกสาวของเธอโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ช่างเป็นความพยายามชั่วพริบตาจริง ๆ เลย……!”

“อืม ตอนนั้นต้องขอบคุณเสี่ยวซี่แท้ ๆ ที่ช่วยเหลือชีวิตหว่านชิงมา” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นพลางกล่าว

เหยาเหม่ยวางหว่านชิงลง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ : “ถ้างั้นครั้งที่แล้วตอนที่หนานกงเฉินมาหาฉันกับเสี่ยวอี้กับเธอ เธอจำฉันไม่ได้จริง ๆ หรือว่าจำไม่ได้หลอก ๆ เหรอ ?”

“จำไม่ได้จริง ๆ น่ะสิ” ไป๋มู่ชิงกล่าว

เมื่อกล่าวถึงเสี่ยวอี้ ในใจของเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เดิมทีวางแผนว่าจะหาเวลาไปเมืองเหยียนด้วยกันสักวันสองวัน แต่เนื่องจากไม่วางใจหนานกงเฉินและคุณผู้หญิง เพราะตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญของศึกชิงหุ้นส่วนระหว่างหนานกงเฉินและเซิ่งตงหยาง

“จริงสิ พักนี้ติดต่อซูซี่ไม่ได้เลย คงไม่ใช่ว่าออกนอกประเทศไปอีกแล้วใช่ไหม ?” อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็ถามขึ้น

เหยาเหม่ยยักไหล่ : “ตอนที่ติดต่อเขาไม่ได้ ส่วนมากก็คงเพราะไปต่างประเทศแล้วนั่นแหละ”

“แต่ว่าทั้งที่เขาบอกฉันไว้แล้วว่าครั้งนี้จะไม่ไปนะ แต่อยู่ ๆ วันถัดมาก็ติดต่อไม่ได้เสียแล้ว”

“ถ้างั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ฉันไม่สามารถติดต่อเฉียวซือเหิงได้ ถ้าอย่างนั้นเธอติดต่อเขาแล้วถามดูหน่อยดีไหม” เธอกลับประเทศมาหลายวันแล้วครั้นยังไม่มีความกล้าที่จะไปเจอหน้าเฉียวซือเหิงอยู่ดี เนื่องจากเธอเป็นผู้ที่ทำลายพันธสัญญาระหว่างเธอและเขา ครั้นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจนั่นก็คือ เฉียวซือเหิงไม่ได้มาพบเธอ แม้แต่โทรมาตำหนิสักสายก็ไม่มี

“ติดต่อเฉียวซือเหิงงั้นเหรอ ?” เหยาเหม่ยทำสีหน้าที่หวาดกลัวขึ้นมาทันที : “ฉันไม่กล้าหรอก”

“กลัวอะไร ? ก็แค่ถามไปว่าซูซี่อยู่ไหน เขาไม่กินเธอหรอก”

ขณะที่เหยาเหม่ยโทรไปหาเฉียวซือเหิงนั้น เฉียวซือเหิงเพิ่งกลับจากบริษัทถึงบ้านแล้วพอดิบพอดี เขาใช้มือหนึ่งปลดเนคไทที่คอเสื้อพร้อมกล่าวขึ้นถามว่า : “สวัสดีครับ ใครครับ ?”

“คุณชายเฉิน……ฉันคือเหยาเหม่ยค่ะ ฉันอยากคุยกับ……ซูซี่” เหยาเหม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน

“คุณอยากคุยกับเสี่ยวซี่เหรอ ?” เฉียวซือเหิงชายตามองประตูห้องนอนที่กำลังส่งเสียง ‘ปัง ๆ’ พร้อมกล่าวว่า : “เสี่ยวซี่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ ไม่สะดวกติดต่อพวกคุณ เดี๋ยวอีกสองสามวันผมจะให้เขาติดต่อพวกคุณไปก็แล้วกัน”

“ฮะ ? เตรียม……เตรียมตัวตั้งครรภ์เหรอคะ ?” เหยาเหม่ยอ้าปากค้างพูดทวนคำพูดของเขาด้วยความพูดอะไรไม่ออก

ซูซี่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านงั้นหรือ ? พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วสินะ ?

“ทำไมเหรอ ? แม้แต่คุณเองก็คิดว่าไม่สมควรเหรอ ?” น้ำเสียงของเฉียวซือเหิงเย็นยะเยือกขึ้น

เหยาเหม่ยรีบส่ายหน้าทันควัน : “ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ ฉันแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซี่จะคิดได้แล้วตัดสินใจเตรียมตั้งครรภ์น่ะค่ะ……”

ยังไม่ทันให้เธอได้พูดจบ เฉียวซือเหิงได้กดวางสายไปเรียบร้อยแล้ว

ไป๋มู่ชิงที่ได้ยินเนื้อหาครึ่งหนึ่งเห็นเหยาเหม่ยวางสายแล้วจึงรีบซักถามทันที : “หมายความว่ายังไง ? เสี่ยวซี่เตรียมตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ ?”

“เฉียวซือเหิงบอกมาแบบนั้น”

“แต่ต่อให้เตรียมตั้งครรภ์อยู่ที่บ้านก็ไม่เห็นต้องตัดขาดจากโลกภายนอกเลยนี่ ? อีกอย่างตอนที่เตรียมตั้งครรภ์นั้นอารมณ์สำคัญที่สุด ควรต้องติดต่อพวกเราเยอะ ๆ ต้องออกมาเดินเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ถึงจะถูกต้อง”

“อืม พูดมีหลักการ” เหยาเหม่ยพยักหน้าหงึก ๆ จากนั้นก็หันไปอุ้มหว่านชิงที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา : “แต่ว่าก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะ เธอดูสิตอนนั้นเธอสำเร็จการตั้งครรภ์ภายใต้คราบน้ำตานะ แต่ก็ยังคลอดหว่านชิงออกมาได้ทั้งสวยและน่ารักแบบนี้ด้วย”

“ฉันคิดว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับซูซี่”

“คงไม่ใช่ว่าเฉียวซือเหิงพลั้งมือ……จัดการเธอสิ้นแล้วใช่ไหม ?” เหยาเหม่ยใช้มือวาดตรงลำคอตนเอง ไป๋มู่ชิงตกใจในความคิดของเธอจนสีหน้าซีดเซียว จากนั้นก็ส่ายหน้าตามสันชาตญาณทันที : “จะเป็นไปได้ยังไง”

“แหะ ๆ……ก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ” เหยาเหม่ยทราบว่าตนเองพูดน่ากลัวไปหน่อย เธอจึงยักไหล่จากนั้นก็ปิดปากเงียบ

--

ครั้นอีกทางหนึ่ง เฉียวซือเหิงกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของซูซี่เป็นเวลาเนิ่นนาน หลังจากที่ยืนฟังเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนดั่งคนสติแตกของเธอที่อยู่ในห้องแล้วนั้น สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้กุญแจเปิดประตูห้องนอนออก

ซูซี่ที่ไม่ได้โวยวายมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว วันนี้เริ่มโวยวายขึ้นอีกครา แถมยังโวยวายหนักกว่าครั้งก่อนเสียอีก เขามองสภาพเธอที่ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ผมเผ้าหยุ่งเหยิงราวกับท่าทางของหญิงสาวที่เป็นบ้า เฉียวซือเหิงขมวดคิ้วขึ้น เวลาต่อมาก็คว้าแขนของเธอพร้อมดันเธอเข้าติดผนังจากนั้นก็กัดฟันพูดขึ้น : “คุณหนูซูซี่ เธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของฉัน การตั้งครรภ์มีลูกไม่ใช่เรื่องที่ถูกทำนองคลองทำหรอกเหรอ ?”

ดวงตาคู่นั้นของซูซี่จ้องมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอกัดฟันกรอบเช่นเดียวกัน : “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่มีลูก……!”

“ถ้างั้นตอนนี้เธอจะทำยังไง ? ทำแท้งเอาเขาออกงั้นเหรอ ?” สายตาของเฉียวซือเหิงมองต่ำลง หล่นไปอยู่บนหน้าท้องน้อยของเธอ

การที่วันนี้เขาเลิกงานเร็วเช่นนี้ก็เนื่องจากเขาได้ยินคุณหมอรายงานว่าซูซี่ตั้งครรภ์แล้ว ขณะที่ได้ยินข่าวสารนี้ ภายในใจของเขาก็มีความปิติอย่างแน่นอนครั้นมีความเป็นกังวลใจมากกว่า เขาเป็นกังวลว่าซูซี่จะโวยวายอย่างเช่นตอนนี้ และก็เป็นอย่างที่เขากังวลไม่มีผิด ซูซี่โวยวายอย่างที่เขาคิดจริง ๆ

“ฉันจะทำ ฉันจะทำแน่ !” ซูซี่กล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่

“ดูเหมือนว่าเธอยังอยากถูกขังไว้ในห้องต่อสินะ”

“ต่อให้ใช้หมัดชก ใช้ไม้ตี……ฉันจะต้องฆ่าเขาให้ตายให้ได้ !” ซูซี่ตะโกนขึ้นด้วยบันดาลโทสะ

“เธอกล้าเหรอ ?”

“นายคอยดูก็แล้วกันว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า !” ซูซี่ยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น

เมื่อเฉียวซือเหิงเห็นความแน่วแน่บนใบหน้าของเธอแล้วนั้น ภายในใจจึงเย็นยะเยือกขึ้นมา เขารู้จักนิสัยของซูซี่ดี สิ่งที่เธอพูดออกมาได้นั้นก็จะต้องทำได้เช่นเดียวกัน

ตอนนี้เธอตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในช่วงอันตรายสามเดือนแรก เขาจะกระทำกับเธอเช่นไรได้ ? ทำได้เพียงสงบคำพูดเปลี่ยนกลยุทธ์ เขาจ้องตาเธอพร้อมพูดขึ้นว่า : “เอาเหอะ เธอบอกมาว่าจะต้องทำยังไงถึงจะยอมคลอดลูกคนนี้ออกมาโดยดีกันแน่ ?”

“นอกจากนายจะตายไปซะ” ซูซี่กล่าวขึ้นมาอย่างโมโหด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เฉียวซือเหิงส่ายหน้า : “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พูดอะไรที่มันเป็นไปได้หน่อย” เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยขึ้นต่อว่า : “ตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้านนอกเหล่านั้น ? และฟางมี่ด้วย……ความจริงแล้วฉันไม่ได้เจอหน้าเขามานานมากแล้ว พวกเราได้……”

“ฉันไม่อยากฟัง !” ซูซี่ยกมือขึ้นมาปิดสองหูเอาไว้แน่นพร้อมส่ายหน้า : “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่อยากฟัง……”

เฉียวซือเหิงกระชากมือที่ปิดหูของเธอลงมา พร้อมจ้องหน้าเธอตาเขม็งแล้วพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า : “ฉันรับปากกับเธอแล้วไงว่าจะไม่ติดต่อกับผู้หญิงด้านนอกเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว เธอยังต้องการอะไรอีก ?”

“ฉันต้องการให้นายรักฉันเหมือนที่หนานกงเฉินรักไป๋มู่ชิง นายทำได้ไหม ?” ซูซี่จ้องหน้าเขาตาเขม็งด้วยคราบน้ำตา

เฉียวซือเหิงชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้า : “โอเค ได้”

รักเธอใช่หรือไม่ ? ไม่ยากเลยสักนิด !

ซูซี่ได้ยินดังนั้นกลับยิ้มขึ้นอย่างเย็นยะเยือก : “นายรู้ว่าหนานกงเฉินรักมู่ชิงยังไงหรือเปล่า ? ถ้านายเข้าใจเขาจริง ๆ คงไม่แยกพวกเขาออกจากกันอย่างโหดร้ายแบบนั้นหรอก !”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากได้ยินชื่อ ‘หนานกงเฉิน’ จากปากของเธออีก” เฉียวซือเหิงสะบัดมือเธอออก จากนั้นก็ถอยไปเบื้องหลังจ้องหน้าเธอ : “คุณหนูซู เธอคิดได้ดี ๆ นะ เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นของฉันคนเดียวแต่เป็นของเธอด้วย ถ้าเธอใจดำกล้าทำแท้งเอาเขาออก ถ้างั้นก็ทำเสียเลยสิ ! ผู้หญิงที่ทั้งเก่งและคลอดลูกได้บนโลกนี้มีเยอะเป็นกอง แต่ลูกที่เป็นของเรามีแค่คนนี้คนเดียว เธอคิดให้กระจ่างซะ !”

สิ้นเสียง เฉียวซือเหิงก็หันหลังเดินไปยังประตูห้องนอน

เขายังคงเป็นเช่นนี้เสมอมา ทนไม่ได้ที่ให้ซูซี่เอ่ยชื่อหนานกงเฉินออกมา ต่อให้ตอนนี้หนานกงเฉินจะมีไป๋มู่ชิงแล้วหรือมีชีวิตที่สวยงามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วก็ตาม

--

ขณะที่หนานกงเฉินกลับมาถึงบ้านและพบว่าภายในบ้านเงียบงัน จึงสาวเท้าเร็วไวขึ้นไปชั้นบน

ไป๋มู่ชิงกำลังสอนหว่านชิงวาดรูปอยู่ในห้องของเธอ เมื่อเห็นหนานกงเฉินกลับมาแล้ว หว่านชิงจึงพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ พร้อมทั้งเรียกคุณพ่อน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนทุกวันที่เคยเป็นมา เรียกจนหนานกงเฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจขึ้นมาทันควัน

หนานกงเฉินพรมจูบไปยังแก้มที่ใสระเรื่อของเธอ จากนั้นก็กล่าวชื่นชมพร้อมรอยยิ้ม : “อู้ว……เป็นเด็กดีจริง ๆ”

“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” หว่านชิงกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง

หนานกงเฉินวางเธอลงพื้น : “หว่านชิงเล่นไปก่อนนะ พ่อลงไปดูข้างล่างหน่อยว่าย่าทวดนอนหรือยัง”

“คุณพ่อคะ คุณย่าทวดยุ่งอยู่กับการแสดงละคร ไม่มีเวลาว่างมาคุยกับคุณพ่อหรอกค่ะ” หว่านชิงกล่าวด้วยสีหน้าแน่นิ่ง

“แสดงละครเหรอ ?” หนานกงเฉินรู้สึกฉงนใจ

ไป๋มู่ชิงจึงยิ้มขึ้นพลางกล่าวว่า : “คุณยังไม่รู้สินะ ? ตั้งแต่ที่คุณบอกให้คุณย่าแกล้งทำเป็นป่วย คุณย่าก็ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อแสดงเป็นคนสติมีปัญหาทุกวันเลย ความจริงจังนั้นมีมากกว่าตอนที่คุณทำงานเสียอีกนะ บอกยังไงก็ไม่ฟังด้วย”

หนานกงเฉินได้ยินดังนั้นจึงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “เดี๋ยวฉันลงไปดูท่านหน่อย” สิ้นเสียงก็หันหลังเดินลงไปชั้นล่าง

ขณะที่เขามาถึงชั้นล่างแล้วนั้น คุณผู้หญิงก็นอนหลับใหลไปเรียบร้อยแล้ว พี่เหอกำลังยกแก้วนมออกมาพอดี เมื่อเห็นหนานกงเฉินจึงกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า : “คุณชายใหญ่คะ คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ? คุณผู้หญิงนอนหลับไปแล้วค่ะ”

“นอนเร็วขนาดนี้เลย ?” หนานกงเฉินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลา ตอนนี้เพิ่งสองทุ่มกว่าเอง เมื่อก่อนคุณผู้หญิงไม่เคยนอนเร็วเช่นนี้มาก่อนเลย

“ค่ะ ท่านเหนื่อยน่ะค่ะเลยนอนก่อนเวลา”

หนานกงเฉินพยักหน้า ครุ่นคิดชั่วครู่จึงกล่าวกำชับขึ้น : “บอกคุณย่าให้หน่อยนะว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”

“ค่ะ ความจริงแล้วก็เป็นเพราะเดิมทีร่างกายของคุณผู้หญิงอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก ทำอะไรตั้งใจนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้วค่ะ”

“ก็เป็นเพราะร่างกายของท่านไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะงั้นยิ่งห้ามให้ท่านเหนื่อยนะ”

พี่เหอพยักหน้า : “ฉันเข้าใจค่ะ คุณชายใหญ่เองก็เข้าพักผ่อนเร็ว ๆ เถอะนะคะ”

หนานกงเฉินกลับขึ้นชั้นบน เห็นไป๋มู่ชิงกำลังอาบน้ำให้หว่านชิงอยู่ หลังจากที่เล่นน้ำกับหว่านชิงสักครู่แล้วเขาก็เดินกลับไปทำธุระที่ห้องหนังสือ

เขาทำธุระอยู่ในห้องหนังสือจนถึงห้าทุ่มถึงเดินกลับห้องนอนมา เวลานั้นหว่านชิงได้นอนหลับไปแล้ว ส่วนไป๋มู่ชิง หลังจากที่เปิดน้ำอาบน้ำทิ้งแล้วนั้น จึงเดินลงไปชั้นล่างอุ่นน้ำซุปแล้วยกขึ้นมา

“เตรียมไว้ให้ฉันโดยเฉพาะเหรอ ?” หนานกงเฉินมองซุปไก่ในมือเธอจากนั้นก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “อาการป่วยของคุณเพิ่งหายดีได้ไม่นาน แถมตอนนี้ยังวุ่นอยู่กับการทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำทั้งวันอีก จะต้องบำรุงหน่อยถึงจะถูกต้องนะคะ”

“มีเมียนี่ดีจริง ๆ” หนานกงเฉินยกซุปไก่ขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็พยักหน้า : “อร่อย”

“พูดอย่างกับเมื่อก่อนคุณไม่มีเมียงั้นแหละ” ไป๋มู่ชิงทำเสียงเชอะขึ้นมาเงียบ ๆ

หนานกงเฉินยิ้มขึ้น : “ทำไม ? ยังหึงจูจูตัวปลอมอยู่อีกหรือไง ?”

“เปล่านะ ก็แค่ปรับความคิดคุณสักหน่อยเท่านั้น”

“บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ สองปีที่ผ่านมานั้นฉันมีเมียก็เหมือนไม่มี” หนานกงเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เรื่องนี้ไป๋มู่ชิงเชื่อเขาเป็นอย่างมาก เธอยิ้มขึ้นจาง ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “ไม่พูดเล่นกับคุณละ พูดเรื่องจริงจังดีกว่า จัดการเรื่องฟ้องร้องหุ้นส่วนบริษัทเป็นยังไงบ้างคะ ?”

“ได้อยู่ วันพรุ่งนี้จะมีคนรับผิดชอบคดีมาคุยกับคุณย่า”

“คุณย่าจะต้องไปศาลเหรอ ?”

“อายุมากแล้ว ขอให้มาสืบสวนที่นอกศาลได้”

“หวังว่าพรุ่งนี้คุณย่าจะโกหกพวกเขาได้นะคะ” ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจ : “ฉันห่วงว่าคุณย่าจะไม่ผ่านด่านการทดสอบสภาพจิตใจ”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว” หนานกงเฉินยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของเธอ : “เลิกเป็นห่วงได้แล้ว รีบเข้าไปพักผ่อนเถอะ”

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า แม้ภายในใจจะรู้สึกเป็นกังวล ทว่าเพื่อให้หนานกงเฉินได้พักผ่อนโดยเร็ว เธอจึงทำได้เพียงเดินมานอนบนเตียงพร้อมเขา

หวังว่าวันพรุ่งนี้จะราบรื่นทุกประการ !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด