เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 263

คุณนายเฉียวก็เพิ่งทราบว่าลูกชายตนเองถูกจับเมื่อดูข่าวภาคเย็นเช่นเดียวกัน หลังจากทราบข่าวเธอให้น้าหงโทรไปสอบถามสถานการณ์จากคนอื่นมากมายด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจดั่งไฟแผดเผา ครั้นผู้ที่ทราบเรื่องจริงเกี่ยวกับคดีนั้นกลับมีน้อยคนยิ่ง

ซูซี่รับประทานอาหารอยู่ข้างนอกตามลำพัง จากนั้นก็เดินตามทางกลับคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเฉียวผู้เดียว

เมื่อเธอก้าวเท้าเข้ามาในตัวบ้านก็ได้ยินเสียงคุณนายเฉียวกำลังคุยโทรศัพท์น้ำเสียงร้อนรนใจอยู่ เธอชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าไป

“คุณนายคะ นายหญิงน้อยกลับมาแล้วค่ะ” น้าหงกล่าว

เมื่อคุณนายเฉียวเห็นซูซี่จึงโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วเดินเข้าไปหา พร้อมจับมือสองข้างของเธอเอาไว้แล้วมองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย : “เสี่ยวซี่ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ ? เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

“แม่คะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ซูซี่ส่งรอยยิ้มให้เธอ

“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คุณนายเฉียวสอบตามต่อว่า : “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ทำไมซือเหิงถึงได้ถูกจับล่ะ ? ทำไมถึงได้ไปลักพาตัวค้าเด็กทารกล่ะ ? เขาไม่ขาดเงินสักหน่อยจะไปทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ?”

ซูซี่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ : “เฉียวซือเหิงเคยลักพาตัวลูกของคนอื่นเมื่อสามปีก่อนจริง ๆ ค่ะ”

“ฮะ ?”

“อีกทั้งคนที่เขาลักพาตัวไม่ใช่ลูกของคนอื่น แต่เป็นลูกของตระกูลหนานกง” สิ้นเสียงซูซี่ยิ้มเจือจางขึ้น : “แม่คะ ถ้าเป็นลูกของคนธรรมดาเราใช้เงินฟาดหัวไปก็ได้แล้ว แต่ตระกูลหนานกงไม่ขาดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลยนี่สิ ตอนนี้พวกเขาต้องการให้คุณชายใหญ่เฉียวเข้าคุกให้ได้ ทำยังไงดีคะ ?”

“ลูกของตระกูลหนานกงงั้นเหรอ ? เขาลักพาตัวลูกของตระกูลหนานกงทำไม ?”

“เพราะอิจฉาริษยาและเกลียดหนานกงเฉิน ก็เลยลักพาตัวลูกสาวของเขาไปค่ะ”

“หมายความว่ายังไง ?” คุณนายเฉียวสอบถามด้วยท่าทีหวาดกลัว

“แม่ยังไม่ทราบเรื่องนี้สินะคะ ? ความจริงแล้วเด็กทารกหญิงที่ฉันให้คุณแม่ช่วยตามหาเมื่อสามปีก่อนนั้นก็คือหว่านชิงค่ะ คือลูกสาวแท้ ๆ ของหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง”

“หว่านชิง ?” คุณนายเฉียวอึ้งไปชั่วครู่แล้วค่อยกล่าวขึ้น : “ลูกสาวของเฉียวเฟิง หว่านชิงน่ะเหรอ ?”

“ใช่ค่ะ เธอนั่นแหละ แต่ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเฉียวเฟิงแต่เป็นลูกของหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงค่ะ” ซูซี่ยิ้มขึ้นอย่างสงบนิ่ง : “ตอนที่หว่านชิงคลอดออกมาเมื่อสามปีก่อน เฉียวซือเหิงได้แอบลักลอบอุ้มเธอมาให้คุณหนูฟางคนรักของเขาเลี้ยงดู เรื่องพวกนี้ฉันก็เพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันค่ะ”

“ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นกันเนี่ย ?” คุณนายเฉียวคาดเดาการกระทำของลูกชายตนเองไม่ออกโดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงซักไซ้สอบถามว่าเหตุใดเท่านั้น

ซูซี่นิ่งเงียบไปชั่วครู่จากนั้นค่อยกล่าวขึ้นว่า : “เพราะอะไรเขาถึงทำอย่างนั้นกันแน่ คุณแม่ไปถามเขาเองดีกว่าค่ะ” สิ้นเสียงเธอก็ก้มหน้าให้คุณนายเฉียว : “แม่คะ ฉันขึ้นไปก่อนนะคะ”

เธอเดินผ่านคุณนายเฉียวไป มุ่งไปยังชั้นบน

“รอเดี๋ยว……” คุณนายเฉียวยื่นมือมาดึงแขนเธอไว้ จากนั้นก็เดินมาอยู่เบื้องหน้าเธอ พร้อมจ้องหน้าเธอแล้วถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่า : “เสี่ยวซี่ ซือเหิงถูกจับทำไมเธอไม่เป็นกังวล ไม่เสียใจเลยล่ะ ?”

“แม่คะ เฉียวซือเหิงถูกจับแล้ว ฉันก็เป็นอิสระแล้วไม่ใช่หรือไงคะ ?”

“เธอ……” คุณนายเฉียวได้ยินคำพูดนี้ของเธอถึงขั้นเป็นใบ้ไปทันควัน

“เฉียวซือเหิงทำอะไรกับฉันไว้บ้าง……คุณแม่ก็เห็นมาตลอดไม่ใช่เหรอคะ ?”

“เสี่ยวซี่……”

“แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เฉียวซือเหิงถูกจับไปแล้วก็ยังมีฉัน ฉันจะดูแลคุณแม่เหมือนลูกสาวแท้ ๆ เลยค่ะ” ซูซี่ส่งยิ้มให้เธอ : “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันไม่ใช่คนอกตัญญูขนาดนั้นหรอก”

สิ้นเสียง เธอทิ้งคุณนายเฉียวที่ยังมีคำพูดอีกมากมายไว้ จากนั้นก็สาวเท้าเดินมุ่งขึ้นชั้นบนไปทันที

--

เมื่อได้รับข่าวคราวที่ว่าเฉียวซือเหิงถูกจับกุม เฉียวเฟิงที่กำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ในโรงพยาบาลก็เริ่มเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที

เขากระวนกระวายใจดั่งไฟแผดเผาเช่นเดียวกับผู้อื่น ร้อนรนใจจนไม่รู้ควรทำเช่นไรดี

เมื่อเหยียนเยว่เห็นสีหน้าอันกลัดกลุ้มใจของเขา กลับไม่ทราบว่าควรปลอบใจเขาเช่นไรดี จึงทำได้เพียงกล่าวปลอบประโยนไปว่า : “สองขาของคุณกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นขั้นสำคัญอยู่ คุณจะต้องใจเย็น ๆ ไว้ให้ได้นะคะ”

เฉียวเฟิงเงยหน้ามองเธอพร้อมกล่าวว่า : “มู่ชิงกับหว่านชิงกลับไปบ้านตระกูลหนานกงแล้ว ทำไมหนานกงเฉินถึงได้ทำแบบนี้อีก ?”

เหยียนเยว่ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวขึ้นว่า : “คุณชายเฉียวคะ คุณคิดว่าหนานกงเฉินเป็นคนที่ว่าง่ายขนาดนั้นเหรอคะ ? มู่ชิงกับหว่านชิงกลับไปแล้วก็จริง แต่การหักหลังและการหลอกลวงที่คุณชายใหญ่เฉียวมีต่อเขานั้นยังคงมีอยู่ ความจริงแล้วคุณชายใหญ่เฉียวทราบตั้งนานแล้วว่าหนานกงเฉินกำลังหาหลักฐานในการฟ้องเขา และเดาไว้แล้วว่าไม่นานก็ช้าต้องมีสักวันที่ตนเองได้เข้าคุกแน่ ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าทำไมเขาถึงได้เร่งรัดให้คุณทำความคุ้นเคยกับเรื่องธุรกิจของบริษัทล่ะคะ ?”

“ที่แท้นี่ก็คือจุดประสงค์หลักที่พี่ใหญ่ต้องการให้ผมทำความคุ้นเคยกับบริษัทนี่เอง……” เฉียวเฟิงกล่าวพึมพำ

“ถูกต้องค่ะ เพราะคุณชายใหญ่เฉียวทราบว่าหนานกงเฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน”

“แต่ที่พี่ใหญ่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อผมทั้งนั้นนะ”

“แต่หนานกงเฉินไม่สนใจเรื่องพวกนี้นี่คะ” เลขาเหยียนกล่าวปลอบประโยน : “คุณชายเฉียวคะ คุณพักฟื้นขาของคุณให้ดี ๆ เถอะนะคะ บริษัทต้องการคุณ”

เฉียวเฟิงกวาดสายตามองสองขาของตนเองที่ยังไม่สามารถเดินบนพื้นได้โดยไม่รู้ตัว ภายในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างสุดซึ้ง

เฉียวซือเหิงไม่เคยบอกเรื่องที่ว่าหนานกงเฉินต้องการจะฟ้องร้องเขาให้ตนฟังมาก่อนเลย แถมยังหาหมอมาผ่าตัดให้เขาในเวลาอันสำคัญเช่นนี้อีกด้วย ขณะที่เป็นกังวลใจอยู่นั้นสิ่งที่มีมากกว่าคือความเป็นห่วงและรู้สึกโทษตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาที่เฉียวซือเหิงและบริษัทต้องการเขาพอดิบพอดี เขาควรจะทำการผ่าตัดให้ช้าลงกว่านี้หน่อย

--

เมื่อไป๋มู่ชิงได้รับโทรศัพท์จากเฉียวเฟิงจึงรีบบึ่งมาโรงพยาบาลและไปยังห้องผู้ป่วยของเขาทันที

เธอมองสำรวจเฉียวเฟิงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย จากนั้นก็สอบถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “อาเฟิง คุณเป็นอะไรไปเหรอคะ ? ทำไมถึงมานอนอยู่ในโรงพยาบาล ?”

“พี่ใหญ่หาแพทย์เฉพาะทางมาให้ผม เลยทำการผ่าตัดไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะ” เฉียวเฟิงร้อนรนใจเรื่องของเฉียวซือเหิง จึงตอบอย่างขอไปที

“ผ่าตัดเหรอคะ ? การผ่าตัดจะสามารถรักษาขาของคุณได้ไหมคะ ?” ไป๋มู่ชิงซักไซ้ถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ เธอจำได้ว่าเฉียวเฟิงเคยบอกเธอว่าขาของเขาไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหายเป็นปกติแล้ว

“ตอนนี้ยังไม่ทราบ” สุดท้ายเฉียวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดต่อว่า : “มู่ชิง การที่ผมโทรหาคุณ……ไม่ได้เพื่อให้คุณมาเยี่ยมผมหรอกนะ แต่เป็นเพราะเรื่องของพี่ผม”

“คุณชายใหญ่เฉียวเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง ตอนนั้นพี่ผมลักพาตัวหว่านชิงไปจริง ๆ และเคยหลอกลวงหนานกงเฉินก็จริง แต่ตอนนี้คุณและหว่านชิงได้กลับไปอยู่ข้างกายเขาหมดแล้ว ผมอยากให้เขามีเมตตาปล่อยพี่ผมไป”

“แต่ว่าเรื่องนี้ได้ยื่นคำร้องไปแล้ว อีกอย่างฉันได้ลองคุยกับเฉินแล้ว แต่เขาไม่มีท่าทีว่าจะช่วยเหลือคุณชายใหญ่เฉียวเลย”

“เขาไม่มีทางช่วยพี่ชายผมแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่ฟ้องร้องพี่ชายผมเอง”

“คุณว่าอะไรนะ ? เฉินเป็นคนฟ้องร้องคุณชายใหญ่เฉียวงั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึงไป

“ไม่อย่างนั้นล่ะ ?” เฉียวเหิงยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา : “คดีที่ผ่านไปแล้วสามปี ถ้าไม่ใช่เขา ทางตำรวจจะมาสืบสวนคดีอย่างกะทันหันอย่างนี้ได้ยังไง ?”

“ทำไมถึงเป็นเฉิน……?” ไป๋มู่ชิงพูดพึมพำ เธอทราบว่าเฉียวซือเหิงถูกจับตัวไป ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะเป็นหนานกงเฉินที่ฟ้องร้องเขาเอง

ก็จริง ถ้าหากไม่ใช่หนานกงเฉินที่ฟ้องร้องเขา ทางตำรวจจะไปสืบสวนคดีเก่าที่ผ่านไปแล้วสามปีได้อย่างไร ?

“ความหมายของคุณคือ……อยากให้ฉันไปโน้มน้าวให้เฉินถอนคำร้อง ? แต่ว่าคุณได้คิดไว้ไหมว่า ในเมื่อเฉินเป็นคนฟ้องร้องเองก็จะต้องไม่มีทางถอนคำร้องอย่างแน่นอน” ไป๋มู่ชิงกล่าว

“การลักพาตัวค้าเด็กทารกไม่ใช่คดีแพ่งธรรมดาแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่จะบอกถอนก็ถอนได้ ฉันแค่หวังว่าคุณจะช่วยขอร้องเขาให้หน่อย ให้เขามีเมตตาตอนจัดการคดีหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกระทำรุนแรงมาก อย่าให้เขาได้รับโทษเยอะตอนอยู่ในคุก” เฉียวเฟิงมองหน้าเธอแล้วกล่าวว่า : “มู่ชิงขอร้องละนะ เห็นแก่ที่พี่ใหญ่เคยช่วยเหลือชีวิตหว่านชิงตอนนั้นด้วยเถอะนะ ได้โปรดช่วยเหลือเขาด้วย”

ความจริงแล้วไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากให้เฉียวซือเหิงถูกพิพากโทษอันรุนแรงมากเช่นกัน เพียงแค่……หนานกงเฉินจะเชื่อฟังเธอหรือไม่ ?

สิ่งที่หนานกงเฉินเกลียดที่สุดก็คือการหักหลังและหลอกลวง เฉียวซือเหิงกระทำกับเขาทั้งสองอย่าง เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร ?

และซูซี่……ซูซี่จะปล่อยเฉียวซือเหิงไปหรือไม่ ?

“อาเฟิง ฉันจะไปโน้มน้าวหนานกงเฉินให้นะ แต่ฉันไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะเชื่อที่ฉันพูดหรอกนะ และก็บุคคลที่เป็นพยานสำคัญของคุณชายใหญ่เฉียวก็คือซูซี่ คุณคิดว่าเธอจะปล่อยคุณชายใหญ่เฉียวไปเหรอ ?”

“ผมไม่รู้” เฉียวเฟิงส่ายหน้าพร้อมยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น : “พวกเขาทั้งสองคนทะเลาะบาดหมางกันมานานหลายปี ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่เดือดดาลที่สุดแล้ว เร่ื่องที่ว่าจะปล่อยเขาไปหรือไม่มันพูดยากจริง ๆ”

“เพราะฉะนั้นแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่หนานกงเฉินและซูซี่ต่างก็ไม่มีความประสงค์ที่จะปล่อยเขาไป จุดจบของคุณชายใหญ่เฉียวไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยจริง ๆ”

“แต่คุณอย่าลืมนะว่าคุณคือแม่ของหว่านชิง เป็นคนในเหตุการณ์ตอนนั้น และเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในคดีนี้ด้วย ความเห็นของคุณสำคัญมาก”

“ฉันทราบค่ะ” ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกเอือมละอา : “แต่ว่าอาเฟิง คุณอย่าลืมไปนะว่าหนานกงเฉินก็เป็นพ่อแท้ ๆ ของหว่านชิงเป็นสามีของฉันเหมือนกัน ฉันไม่มีทางช่วยคนนอกแล้วถอนคำร้องของเขาได้หรอกนะ การที่เฉินฟ้องคุณชายใหญ่เฉียวเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย ถ้าถึงตอนนั้นฉันโต้แย้งกับคำพูดของเขาในศาล คุณเคยคิดผลที่จะตามมาของฉันและเขาไหม ?”

เธอยิ้มขึ้นอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า : “ฉันคิดว่าการที่เฉินไม่ให้ฉันรู้เรื่องนี้มาตลอดก็คงเป็นเพราะกลัวว่าฉันจะลำบากใจ”

แม้ว่าหนานกงเฉินจะปิดบังเธอ ครั้นเธอก็เป็นบุคคลสำคัญในคดีนี้ ไม่นานก็ช้าจะต้องทราบเรื่องอยู่ดี อย่างเช่นตอนนี้เธอรู้สึกลำบากใจจริง ๆ !

“อาเฟิง ฉันรับปากว่าจะไปโน้มน้าวหนานกงเฉินให้คุณ สำหรับว่าจะช่วยเหลือได้ถึงขั้นไหนนั้นฉันไม่กล้ารับประกันหรอกนะ” เธอกล่าว

เฉียวเฟิงพยักหน้า บนใบหน้าผุดความรู้สึกผิดขึ้นมา : “ขอโทษด้วยนะ ผมรู้ว่าคุณลำบากใจมาก ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยผมเป็นห่วงพี่ผมมากเกินไป”

“ฉันเข้าใจค่ะ” ไป๋มู่ชิงกล่าว

“ขอบใจที่คุณเข้าใจนะ” เฉียวเฟิงกล่าว : “ไม่มีอะไรแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ”

เธอมองหน้าเฉียวเฟิง จากนั้นก็ถามคำถามออกมาเป็นชุด : “ตอนนี้ขาของคุณโอเคไหมคะ ? มีคนดูแลคุณหรือเปล่า ? ต้องการให้ฉันช่วยอะไรคุณไหม ?”

“ขอบคุณนะ ผมโอเคมาก” เฉียวเฟิงยิ้มพร้อมกล่าวปลอบประโยน : “อย่าลืมซะล่ะว่าที่นี่คือโรงพยาบาลเฉียว”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ถ้างั้นวันหลังฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะ”

“ไม่ต้องหรอก ไม่สะดวกเท่าไหร่ ถ้าทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเข้าจะแย่เอา” เฉียวเฟิงกล่าว

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจในคำพูดของเขาสักเท่าไร จึงยิ้มบาง ๆ แล้วตอบตกลง จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องผู้ป่วยของเขาไป

--

หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ไป๋มู่ชิงก็มายังห้องทำงานของหนานกงเฉิน

เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา หนานกงเฉินจึงมีสีหน้าที่ดีใจเป็นพิเศษ : “วันนี้มาทานมื้อเที่ยงกับฉันด้วยตัวเองเลยเหรอ ?”

ตลอดทางที่มาที่นี่ไป๋มู่ชิงเอาแต่คิดว่าควรเอ่ยเรื่องเฉียวซือเหิงกับหนานกงเฉินเช่นไรดี ควรพูดอย่างไรเขาจึงจะไม่โกรธเคือง ถึงจะมีเมตตาเอาผิดเฉียวซือเหิงให้ได้รับผิดน้อย ๆ หน่อย ทว่าตลอดทางมานี้เธอคิดวิธีที่ดีไม่ออกเลย

“คุณไม่ยุ่งแล้วเหรอคะ ?” เธอมองหน้าหนานกงเฉินจากนั้นก็ถามคำถามเปิดประเด็นอันธรรมดาออกมา

“พอได้อยู่ แต่ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ต้องทานมื้อเที่ยงอยู่ดี” หนานกงเฉินเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเธอจากนั้นก็ยื่นมือไปโอบเอวของเธอเอาไว้ ให้ร่างของเธอแนบชิดเข้ามา เขายิ้มขึ้นแล้วพูดว่า : “เมื่อสักครู่ไปเดินชอปปิงที่ไหนมาล่ะ ? ได้ซื้อของขวัญอะไรให้ฉันหรือเปล่า ?”

“ฉันไม่ได้ไปชอปปิงค่ะ” ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาพร้อมกล่าวว่า : “เฉินฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ได้โปรดอย่าโกรธนะ”

“เรื่องอะไร ?”

“เมื่อกี้เฉียวเฟิงนัดฉันไปเจอ”

เมื่อได้ยินที่เธอพูด สีหน้าของหนานกงเฉินก็เย็นยะเยือกทันที เขาจ้องหน้าเธอแล้วพูดว่า : “ขอร้องให้เธอปล่อยเฉียวซือเหิงไปใช่ไหม ?”

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า และกำลังจะเอ่ยขึ้นอีก ครั้นหนานกงเฉินกลับชิงพูดขึ้นก่อน : “มู่ชิง เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรู้ว่าทำไมเขาถึงเรียกเธอไปพบ ฉันรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไรเหมือนกัน แต่ความคิดของฉันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรอก”

หนานกงเฉินใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากขอเธอ พร้อมยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า : “ถ้าเธอปริปากของร้องฉัน แล้วถ้าฉันไม่ตอบตกลงเธอจะต้องโกรธและเสียใจแน่นอน แต่ถ้าฉันตอบตกลงเธอ ฉันก็จะต้องลำบากใจและเสียใจมากเหมือนกัน”

“ฉันรู้ค่ะ……แต่ว่า……”

“แต่ว่าเธอรับปากเฉียวเฟิงแล้วใช่ไหม ?”

“ค่ะ ฉันรับปากว่าจะช่วยพูดโน้มน้าวคุณอย่างเต็มที่”

“เธอพยายามเต็มที่แล้ว เพียงแค่ฉันไม่ตอบตกลงก็เท่านั้น” หนานกงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเจือจาง

เมื่อเห็นสีหน้าอันเศร้าหมองของไป๋มู่ชิง รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงเฉินก็เลือนรางหายไป เขาสบตาเธอแล้วถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า : “มู่ชิง ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนมีเมตตา เธอทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธเฉียวเฟิงทนไม่ได้ที่จะให้เฉียวซือเหิงเข้าคุก แต่เธอได้โปรดเข้าใจฉันหน่อยจะได้ไหม ? ทั้งที่เฉียวซือเหิงรู้ถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอและลูก แต่ว่าเขากลับลักพาตัวเธอกับหว่านชิงไปเพื่อเฉียวเฟิง หลอกลวงฉันมาตลอด เธอก็รู้ว่าฉันเกลียดการหลอกลวงและการหักหลังที่สุด นี่คือปัญหาที่ว่ากันตามหลักการ เพราะงั้นครั้งนี้ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน”

“ฉันรู้ค่ะ……” ไป๋มู่ชิงลังเลชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้น : “ฉันรู้ว่าคุณกลืนโทสะนี้ลงไม่ได้ แต่ว่าเฉียวซือเหิงไม่ใช่คนที่ร้ายกาจจนกู้ไม่กลับเลย เขากับพวกผู่เหลียนเหยาไม่เหมือนกันนะคะ เพราะงั้น……คุณให้เขาอยู่ในคุกหนึ่งปีครึ่ง บรรเทาความโกรธก็พอแล้วค่ะ อย่าให้โทษเขาหนักเกินไปได้ไหมคะ ?”

หนานกงเฉินหุบยิ้ม : “การกำหนดโทษไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฉัน”

“แต่ว่าการตัดสินใจของคุณมันส่งผลกับความหนักเบาของโทษโดยตรงนะคะ”

หนานกงเฉินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็สบตาเธออีกครั้ง : “ตอนที่เธอพูดคำพูดพวกนี้ได้คำนึงถึงความรู้สึกของซูซี่บ้างไหม ? เขารีบร้อนส่งตัวเฉียวซือเหิงเข้าคุกกว่าฉันอีกนะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด