เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 264

พอใกล้ถึงเวลาเลิกงาน หนานกงเฉินได้รับข้อความที่ไป๋มู่ชิงส่งมา:ที่รักวันนี้เลิกงานตรงเวลาได้ไหม? ถ้าได้จะชวนคุณไปช๊อปปิ้ง

เขายิ้มกับโทรศัพท์สักพัก แล้วตอบกลับไปหาเธอ:ได้ครับ

ไม่นานปลายสายโทรศัพท์ก็ตอบกลับมาอีก:งั้นฉันจะรอคุณที่ไชน่าเซ็นทรัลเพลสนะคะ

เลขาหลินที่กำลังรายงานได้ครึ่งหนึ่งนั้นก็หยุดลง กวาดสายตามองหนานกงเฉิน ครู่ใหญ่ถึงถามอย่างระมัดระวัง:“คุณชายเฉิน คุณได้ฟังหรือเปล่าคะ?”

สุดท้ายหนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วพยายามระงับยิ้มที่มุมปาก:“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“เอ่อ......ฉันบอกว่าหลังจากที่บริษัทจื้อหย่วนได้รับความเสียหายครั้งใหญ่นั้น ยิ่งนับวันก็ยิ่งแย่ลง วันนี้ตอนเช้าเซิ่งว่านเหนียนโทรมาจะนัดเจอคุณค่ะ แต่ฉันปฏิเสธเขาไปแล้ว” เลขาหลินพูด

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

ก่อนหน้านี้บริษัทจื้อหย่วนสามารถรักษาให้อยู่รอดได้นานขนาดนั้น ก็เพราะว่าตอนที่เขากำลังป่วยไม่มีเวลาสนใจเขา ตอนนี้ตัวเขาเองหายดีแล้วก็คงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ

เซิ่งตงหยางกล้าโกงหุ้นของคุณผู้หญิง กล้าลงมือกับคุณผู้หญิง เขาไม่มีทางให้อภัยแน่นอน

เหตุผลที่เซิ่งว่านเหนียนขอเจอเขานั้นเขารู้ดี ก็แค่อยากแยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซิ่งตงหยาง ขอให้เขาปล่อยบริษัทจื้อหย่วนไปตามทางก็เท่านั้นเอง

ขณะที่เลขาหลินกำลังหมุนร่างออกไปนั้น จู่ๆหนานกงเฉินก็เรียกไว้:“เดี๋ยวก่อน”

“คุณชายเฉินยังมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“บอกเซิ่งว่านเหนียน ถ้าจะเจอก็ไม่จำเป็น อยากให้บริษัทจื้อหย่วนคงอยู่ต่อไปไม่ใช่ว่าไม่ได้ นอกซะจากเขาสามารถโน้มน้าวเซิ่งตงหยางให้ขายหุ้นราคาตลาดของบริษัทหนานกงกรุ๊ปให้ฉันได้”

เลขาหลินตกใจ:“เซิ่งตงหยางคงไม่โง่ขนาดนั้นมั้งคะ?”

เซิ่งตงหยางนั้นถ้าเพิ่มเรื่องหุ้นที่ก่อนหน้านี้ซื้อมาจากในมือของหุ้นส่วนรายย่อย ในมือที่มีอยู่ทั้งหมดก็เท่ากับเจ็ดเปอร์เซ็นต์ หุ้นเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของบริษัทหนานกงกรุ๊ป......เงินนั่นมันคุ้มค่ากว่าบริษัทจื้อหย่วนเสียอีก

“งั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของเขาแล้วล่ะ”

“ค่ะ ฉันทราบแล้วค่ะ” เลขาหลินหมุนร่างเดินออกไป

หลังจากที่เลขาหลินออกไปแล้ว หนานกงเฉินก็จัดการงานที่อยู่บนโต๊ะเขาให้เสร็จสรรพ แล้วปิดคอมพิวเตอร์เลิกงาน

เขาลงลิฟต์ตรงไปยังที่จอดรถชั้นล่าง พึ่งจะเดินออกไปก็มีร่างใครคนหนึ่งโผล่ออกมาอย่างกะทันหันทำให้ต้องหยุดเดิน

เขาสังเกตเซิ่งตงหยางที่ไม่รู้ว่าออกมาจากไหน พูดถากถางด้วยสีหน้าเย็นชา:“คุณลุงไม่พักฟื้นที่บ้านไม่พอ แถมยังวิ่งวุ่นไปทั่วอีกเหรอครับ?”

เซิ่งตงหยางจ้องเขา ด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนกัน:“หนานกงเฉิน หุ้นทั้งหมดในมือฉันตอนนี้ล้วนแต่ซื้อมาอย่างถูกกฎหมาย แกฝันไปเถอะถ้าจะแย่งกลับไป”

“เซิ่งว่านเหนียนโทรไปหาคุณเร็วขนาดนั้นเลย? แต่ว่านะเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่ว่าคุณลุงต้องมาบริษัทด้วยตัวเองเลยนี่ครับ?” หนานกงเฉินหัวเราะอย่างไม่ได้ใส่ใจ:“ผมไม่ได้ป่าเถื่อนเหมือนคุณลุง ไม่เคยคิดว่าจะแย่งหุ้นจากในมือคุณลุงกลับด้วย ผมรอให้คุณลุงขายหุ้นให้ผมด้วยตัวเองต่างหาก”

“แกฝันไปเถอะ” เซิ่งตงหยางอับอายจนโกรธ

“ถ้าคุณลุงไม่อยากขายให้ ผมก็คงไม่บังคับ ความจริงแล้วจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ไม่มีผลกระทบกับตำแหน่งของผมในบริษัทหนานกงกรุ๊ปหรอก ผมก็แค่หวังว่าต่อไปคุณลุงจะไม่มาข้องเกี่ยวกับบริษัทหนานกงกรุ๊ปอีกเท่านั้นเอง” หนานกงเฉินพูดจบ กวาดสายตามองเขา:“คุณลุงยังมีธุระอะไรอีกไหมครับ? ถ้าไม่มีผมขอตัวก่อน”

เซิ่งตงหยางกัดฟัน โกรธจนพูดอะไรไม่ออก

เซิ่งตงหยางกับเซิ่งว่านเหนียนเห็นต่างกันมานานขนาดนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำความชั่วร้ายของฝ่ายตรงข้ามตั้งเท่าไหร่ หนานกงเฉินทำได้แค่เดาไปตามสภาพ จนตอนนี้เห็นว่าเซิ่งตงหยางซ่อนความร้อนรนไว้ในใจลึกๆ ในใจคงคิดว่าจะทำยังไงดี

ดูแล้วเซิ่งตงหยางคงยากที่จะเปลี่ยนสันดานเดิม ไม่เพียงแต่สร้างปัญหาให้บริษัทหนานกงกรุ๊ป บริษัทจื้อหย่วนก็ละเว้น อีกอย่างดูเหมือนว่าทำผิดกฎหมายค่อนข้างหนักเลยทีเดียว

หนานกงเฉินที่อารมณ์ดีอยู่แล้วจู่ๆก็อารมณ์ดีขึ้นไปอีก แม้แต่จังหวะฝีเท้าที่ก้าวนั้นก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา

เขาขับรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของไชน่าเซ็นทรัลเพลส โทรหาไป๋มู่ชิงไปด้วยเดินขึ้นชั้นห้าตรงไปที่โซนเด็กไปด้วย

ไป๋มู่ชิงสอนเขาว่าขึ้นมายังไง เดินไปทางไหนผ่านทางโทรศัพท์ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบหนานกงเฉินกลับพูดขึ้นมาประโยคเดียว:“หาไม่เจอ หาไม่เจออะ......”

“ทำไมหาไม่เจอล่ะคะ? ก็อยู่ที่ชั้นห้าทางขวามือของประตูลิฟต์ คุณขึ้นมาที่ชั้นห้าแล้วหรือยัง?”

“ผมขึ้นมาแล้ว แต่หาคุณไม่เจอ”

“บื้อจริงๆเลย คุณอย่าพึ่งไปไหนนะ เดี๋ยวฉันไปหาคุณเองละกัน” ไป๋มู่ชิงถือโทรศัพท์ไว้ในมือ หาร่างของเขาไปรอบทิศ ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าด้านหลังมีร่างใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาหาตัวเอง

ผ่านไปสักพัก ร่างของเธอก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง กลิ่นอายที่เด่นชัดของผู้ชายลอยขึ้นมา

ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้ง ฝีเท้าแข็งทื่อ

“หยุดนะนี่คือการปล้น” ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังกัดขู่ไปที่หูของเธอ

ไป๋มู่ชิงยังยืนแข็งทื่ออยู่ ตั้งใจพูดเสียงสั่น:“ขอร้องคุณล่ะอย่ากัดฉันเลยนะ ฉันจะเอาเงินให้คุณหมดเลย......”

“ผมแค่จะปล้นอย่างอื่น” หนานกงเฉินจับร่างของเธอให้หันกลับมา ก้มหน้าจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ จูบร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วใช้มือชี้ไปทางโซนของเล่นเด็กที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีเด็กๆเยอะมาก ไม่เหมาะที่จะจูบระดับนี้เลยจริงๆ หนานกงเฉินก็เลยปล่อยเธอ

“พ่อ......หนูอยู่นี่ค่ะ......!” หว่านชิงโบกไม้โบกมือให้หนานกงเฉิน

หนานกงเฉินก็เลยเดินเข้าไป แล้วอุ้มเธอออกมาจากโซนสวนสนุก อมยิ้มแล้วถาม:“เล่นสนุกไหม?”

“สนุกค่ะ”

“งั้นอยากเล่นต่อหรือเปล่า?”

“ไม่เอาแล้วค่ะ แม่บอกว่าเล่นได้จนกว่าพ่อจะมา พอพ่อมาก็เล่นไม่ได้แล้ว เพราะพ่อจะพาหว่านชิงไปทานของอร่อย”

หนานกงเฉินยิ้มแล้วลูบที่ศีรษะของเธอ:“รู้อยู่แล้วว่าต้องมาหาอะไรทาน”

ปากเล็กๆของหว่านชิงพับลง:“คนเขาไม่ได้ไปทานของอร่อยกับพ่อหลายวันแล้วนี่”

“อืม......” หนานกงเฉินพยักหน้า:“เหมือนว่านานแล้วที่ไม่ได้ไป พ่อขอโทษ ช่วงนี้พ่อยุ่งมากเลย ต่อไปจะพาลูกไปบ่อยๆนะดีไหม?”

“ดีค่ะ พ่อห้ามผิดคำพูดนะ!”

“ไม่ผิด ไม่ผิดแน่นอน” หนานกงเฉินพยักหน้า อุ้มเธอแล้วจูงมือไป๋มู่ชิงออกไปจากโซนสวนสนุกของเด็ก

อีกฝั่งของชั้นห้าเป็นร้านขายเสื้อผ้าเด็ก ตอนที่ผ่านด้านข้างหนานกงเฉินพูดกับไป๋มู่ชิง:“ซื้อเสื้อผ้าให้หว่านชิงหน่อยดีไหม?”

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:“คุณลืมแล้วเหรอ? คุณย่าพึ่งจะซื้อให้ลูกเต็มตู้เสื้อผ้า”

หนานกงเฉินนึกถึงตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยชุดเสื้อผ้าใหม่ๆ ไม่ควรจะซื้อเพิ่มจริงๆนั่นแหละ ในทางกลับกันตั้งแต่ไป๋มู่ชิงกลับมาอยู่ข้างๆเขา ก็ยุ่งอยู่กับการดูแลเขากับคุณผู้หญิงตลอดเลย จนเกือบจะไม่ได้ดูแลตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อเสื้อผ้าเลย

หนานกงเฉินพาไป๋มู่ชิงมาที่ร้านเสื้อผ้าผู้หญิงชั้นสาม:“วันนี้ผมกับหว่านชิงจะมาซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนคุณ เลือกสักหน่อยเถอะ”

“ฉันมีเสื้อผ้าใส่นะ ไม่ต้องซื้อหรอก”

“ผมรู้ว่าคุณมีเสื้อผ้าใส่ แต่เสื้อผ้าพวกนั้นดูเก่าหมดแล้ว”

“ฉันไม่คิดมากหรอก......”

“แต่ผมคิดไง” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอ แล้วยิ้ม:“เสื้อผ้าน่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนใส่ แต่ก็ใส่ให้ผมดู ผมว่าถ้าเห็นของสวยๆงามๆที่สบายตา อารมณ์ก็จะดีไปด้วยนะ ว่าไหมหว่านชิง?” หนานกงเฉินหมุนหว่านชิงในอ้อมแขนไปอีกฝั่ง

หว่านชิงพยักหน้า:“หนูก็ชอบมองแม่ใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ”

ในเมื่อพ่อลูกทั้งสองพูดขนาดนี้ ไป๋มู่ชิงก็เลยไม่ปฏิเสธต่อ ทั้งสามคนเดินเข้าไปร้านเสื้อผ้าผู้หญิง

ไซส์ตัวของไป๋มู่ชิงได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะใส่อะไรก็ดูดีหมด แต่เธอไม่ได้เลือกเองแล้วหันไปทางหนานกงเฉิน พูดกับเขาแล้วยิ้มอย่างสดใส:“ในเมื่อต้องใส่ให้คุณดู งั้นคุณก็ช่วยฉันเลือกแล้วกันนะคะ เลือกชุดที่คุณชอบ”

หนานกงเฉินคิด:“เหมือนว่าผมยังไม่เคยเลือกเสื้อผ้าให้คุณจริงจังเลยนะ”

“คุณพึ่งนึกได้เหรอคะ? คุณดูลูกโตขนาดนี้แล้ว แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่เคยเลือกซื้อให้ฉันเลยสักครั้ง” ไป๋มู่ชิงตั้งใจแกล้งโมโหประท้วง

หนานกงเฉินยิ้มแล้วดึงเธอเข้ามาหอม แล้วพยักหน้า:“ก็ได้......ต่อไปเสื้อผ้าของคุณภรรยาผมเหมาเอง ผมจะเป็นคนเลือก แบบนี้โอเคไหม?”

“ทำไมฟังดูแล้วเหมือนไม่เต็มใจเลยนะ?”

“ผมไม่เต็มใจที่ไหนกัน? ทั้งหน้าทั้งใจผมเต็มไปด้วย‘เต็มใจ’สองคำนี้ทั้งนั้นเลย ไม่เชื่อคุณลองถามพวกเขาดู” หนานกงเฉินมองไปยังหว่านชิงกับสาวๆพนักงานขายที่อยู่รอบๆ พวกสาวๆพนักงานขายต่างก็ยิ้มหัวเราะกัน แล้วชมอย่างจริงใจ:“พวกคุณสองคนดูรักกันจังเลยนะคะ น่าอิจฉาจริงๆ”

“พวกเราสองคนดูรักกันเหรอ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปถามหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินพยักหน้า:“ผมว่าก็จริงนะ คุณคิดว่าไง?”

“ก็พอได้นะคะ” ไป๋มู่ชิงตอบ แล้วหัวเราะ:“พอแล้วค่ะ พวกเราไม่อวดต่อแล้ว มีคนบอกไว้ว่าอวดโชว์ความสุขต่อหน้าที่สาธารณะจะตายเร็วนะคะ”

“ความรู้สึกของพวกเราเคยเกินขอบเขตจนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ดับไปก็มักจะลุกโชนขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น......” หนานกงเฉินยิ้มอย่างอบอุ่น:“วางใจเถอะ อวดไม่ตายหรอกครับ”

“หน้าไม่อายอะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วยื่นมือผลักไปที่หน้าอกเขา:“หยุดเล่นได้แล้ว รีบช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าเถอะ”

หนานกงเฉินลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มสังเกตเสื้อผ้าที่อยู่บนราวแขวน พนักงานสาวก็ยิ้มอย่างสดใส:“ขอโทษนะคะคุณผู้ชายคุณชอบดูคุณผู้หญิงใส่เสื้อผ้าแบบไหนหรือสไตล์ไหนคะ? พวกเราสามารถช่วยคุณเลือกได้”

หนานกงเฉินหยิบเสื้อผ้าออกมาจากราวแขวนสองชุดพลิกไปพลิกมา น้ำเสียงค่อนข้างลำบากใจ:“ภรรยาผมใส่อะไรก็ดูดีหมด ไม่ว่าใส่อะไรผมก็ชอบหมด แบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ”

ไป๋มู่ชิงใช้มือปิดหน้าอย่างหมดคำพูด แล้วดึงหว่านชิง:“ลูกรัก พวกเราไม่รู้จักเขา ไปเถอะ......”

“ทำไมล่ะคะ? หนูว่าพ่อพูดถูกนะคะ แม่ใส่อะไรก็สวย” หว่านชิงพูดด้วยหน้าตาที่ไร้เดียงสา

“ฉันไม่รู้จักพวกคุณสองคน” ไป๋มู่ชิงยังคงปิดหน้าอยู่ อายจนทำตัวไม่ถูก

พนักงานสาวกลัวว่าเธอจะไปจริงๆ ก็รีบดึงเธอไว้แล้วหัวเราะ:“คุณผู้หญิงคะ ฉันว่าคุณผู้ชายเขาพูดถูกนะคะ รูปร่างของคุณดีขนาดนี้แน่นอนว่าใส่อะไรก็ออกมาดูดีหมดค่ะ อีกอย่างเสื้อผ้าทางร้านของพวกเราก็ค่อนข้างตามแฟชั่นของวัยรุ่น ไม่ว่าชุดไหนรับรองว่าเหมาะกับคุณแน่นอนค่ะ”

“จริงค่ะ คุณผู้ชายของคุณชื่นชมคุณขนาดนี้ คุณควรจะดีใจถึงจะถูกนะคะ มีผู้ชายน้อยมากที่ถึงแม้ว่าภรรยาจะมีลูกแล้วแต่ก็ยังชื่นชมเธอขนาดนั้น” พนักงานสาวอีกคนพูดอย่างเอาใจ

แน่นอนว่าในใจไป๋มู่ชิงนั้นดีใจ แต่ถูกหนานกงเฉินชมเธอในที่สาธารณะแบบนี้ รู้สึกทำตัวไม่ถูกก็เท่านั้นเอง ยังไงซะถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ก็ไม่ถือว่าสวยมาก เปรียบเทียบกับเลขาเหยียนและซูซี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นพนักงานสามคนนี้ ก็หน้าตาสะสวยไม่แพ้เธอเลย

สรุปก็คือ เธอเป็นคนที่เวลาอยู่ในคนหมู่มากไม่ได้สวยจนเป็นที่สนใจขนาดนั้น ไม่ขนาดที่หนานกงเฉินกับหว่านชิงชมในที่สาธารณะเมื่อครู่......

“ใจเธอสวยนะ พวกคุณไม่ต้องกังวลว่าเธอจะไปหรอก” หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิง รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น พูดซะจนไป๋มู่ชิงทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก

ในคำพูดที่หวานหยดย้อยของพนักงานสาวนั้น หนานกงเฉินเลือกชุดมาให้ไป๋มู่ชิงสามชุด แล้วยังเลือกชุดหนึ่งที่มีขนสำหรับให้ความอบอุ่นและกันลมอีกด้วย

หลังจากที่รูดบัตรแล้ว หนานกงเฉินก็เอาเสื้อกันลมตัวใหญ่คลุมไว้บนไหล่ของไป๋มู่ชิง:“ต่อไปเวลาออกไปข้างนอกต้องใส่มันนะ ห้ามออกมาทั้งๆที่ใส่บางขนาดนี้เหมือนอย่างวันนี้เข้าใจไหม?”

เสื้อกันลมขนาดใหญ่คลุมอยู่บนร่างกาย ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงความอบอุ่นได้ทันที ในใจปลื้มปริ่ม เธอกระชับเสื้อขึ้นแล้วมองไปที่หนานกงเฉิน:“วันนี้ฉันก็ใส่ไม่น้อยนะ ทั้งสามตัวให้ความอบอุ่นหมดเลย”

“แต่ผมดูแล้วไม่อบอุ่นเลยสักนิด” หนานกงเฉินกวาดสายตามองเสื้อผ้าที่บางอยู่ด้านในเสื้อกันลม

รู้ว่าเขาทำไปเพราะเป็นห่วงตนเอง ไป๋มู่ชิงตอบรับอย่างเต็มปาก:“ได้ค่ะ ครั้งหน้าทุกครั้งที่ฉันออกไปข้างนอกฉันจะใส่เสื้อตัวใหญ่แสนอบอุ่นที่คุณสามีซื้อให้ตัวนี้นะคะ”

--

ในระหว่างทางที่กำลังกลับนั้น หนานกงเฉินรับสายโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง เขาพูดไม่กี่ประโยคเหมือนปกติแล้วก็วางสายลง

ต่อหน้าคนนอกแล้วเขายังคงเป็นคุณชายเฉินที่เงียบขรึมพูดน้อยและจอมเย็นชา แต่ต่อหน้าไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงนั้น......ตามคำพูดที่ไป๋มู่ชิงพูดไว้คือเขาไม่มีอะไรที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวได้เลย

ไป๋มู่ชิงที่ฟังแล้วน่าจะจับใจความได้ครึ่งหนึ่งก็หันหน้ามามองเขาแล้วถาม:“โทรศัพท์มาว่ายังไงเหรอคะ? ใครถูกตัดสินลงโทษ? ผู่เหลียนเหยาหรือเปล่า?”

คดีของผู่เหลียนเหยาถูกตรวจสอบนานขนาดนั้น ก็น่าจะถึงเวลาประกาศคำตัดสินแล้วสิ?

หนานกงเฉินพยักหน้า:“อืม เลื่อนเวลาประหารชีวิต”

“หา? ทำไมหนักขนาดนั้น?” ไป๋มู่ชิงร้องเสียงเบาออกมา

“หนักเหรอ? ผมนึกว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิตเดี๋ยวนั้นเลยซะอีก” สายตาของหนานกงเฉินค่อยๆเย็นชาลง ก่อนหน้านี้ที่วางยาเขาก็ว่าจะปล่อยผ่านแล้ว แต่พอคิดถึงเรื่องที่เขาวางแผนทำร้ายไป๋มู่ชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าถูกจับแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะลงมือกับเสียวหว่านชิง พอเขาคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็แทบอยากจะให้ผู่เหลียนเหยารีบถูกประหารชีวิตซะ

ผู้หญิงคนนี้พออำมหิตขึ้นมา ทำให้คนเขากัดฟันทนไม่ไหวจริงๆ!

ถึงแม้ว่าไป๋มู่ชิงจะนิสัยจิตใจดี แผลที่หายแล้วก็ลืมง่าย แต่ก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของหนานกงเฉินได้ เข้าใจความโกรธแค้นของเขาที่มีต่อผู่เหลียนเหยา

ลองเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงแทบอยากจะฆ่าฝ่ายตรงข้าม!

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ทุกอย่างได้ผ่านไปหมดแล้ว” เธอคล้องแขนหนานกงเฉินแล้วพูดปลอบเสียงอ่อนโยน

หนานกงเฉินพยักหน้า ยกมือขึ้นโอบเธอเข้ามาในอ้อมแขน แล้วจูบไปที่ผมของเธอ:“โชคดีที่คุณกับหว่านชิงไม่เป็นอะไร”

“โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไรเหมือนกันค่ะ” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าแล้วพูดกับเขา

ทั้งสองคนประสานสายตากัน แล้วยิ้มอย่างมีความสุข

--

ตั้งแต่ที่หลังจากซูซี่ตั้งครรภ์ เฉียวซือเหิงก็เลิกงานเร็วขึ้น

ถึงแม้ว่าซูซี่จะไม่จำเป็นต้องสนใจเขา แต่ทุกคืนเขาก็ยังตรงต่อเวลา ต่อให้กลับถึงบ้านแล้วทำได้แค่ทำงานดูโทรทัศน์ก็ตาม

นอกซะจากวันนี้ วันนี้เขามีประชุมสำคัญล่าช้าจนถึงแปดโมงครึ่ง ตอนที่กลับถึงบ้านก็เก้าโมงแล้ว

ขณะที่เขากำลังเข้าห้อง เอ่ยปากถามน้าหงถึงซูซี่ว่าเป็นยังไงบ้างตามความเคยชิน น้าหงก็ตอบตามความจริง:“นายหญิงน้อยสบายดีค่ะ แค่เบื่ออาหาร ขนาดมื้อค่ำก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ”

คุณผู้หญิงเฉียวที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นกวาดสายตามามองเฉียวซือเหิง:“ผู้หญิงท้องสามเดือนแรกก็อย่างนี้แหละ แกก็ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก ผ่านไปสักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“ไม่ทานมื้อค่ำบ่อยๆได้ยังไงล่ะครับ?”

“แต่เธอก็ทานไม่น้อยนะ มีวิธีอื่นหรือไง?” คุณผู้หญิงเฉียวมองที่เขา:“ถ้าแกมีเวลาว่างก็พาเธอออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง ผ่อนคลายจิตใจ อารมณ์ดีแล้วความอยากอาหารก็จะมาเอง” คุณผู้หญิงเฉียวพูดจบก็พูดต่ออีกหนึ่งประโยค:“แต่ฉันว่าเสี่ยวซี่ไม่จำเป็นต้องออกไปกับแกหรอก แกอย่าไปยั่วโมโหเธอดีกว่า”

ถึงแม้ว่าจะถูกคุณผู้หญิงเฉียวพูดแบบนี้ใส่ แต่เฉียวซือเหิงก็ยังคงก้าวเท้าเดินขึ้นไปชั้นบน

เขาเดินมาที่หน้าประตูห้องของซูซี่ หลังจากที่ยกมือขึ้นเคาะประตูก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

ซูซี่ที่กำลังนั่งบนโซฟาดูโทรทัศน์พอได้ยินเสียงประตู ก็หันหน้าไปดูตามสัญชาตญาณ ตอนที่เห็นว่าเป็นเฉียวซือเหิงก็ไม่ได้พูดอะไร แค่หันหน้ากลับไปอย่างเงียบๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด