เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 68

เธอขยับตัวอย่างไม่ชิน "หนูไม่เป็นไรค่ะ"

คุณผู้หญิงยังไม่วางใจ สั่งให้พี่เหอเรียกหมอประจำบ้านตระกูลหนานกงมาตรวจดู

พี่เหอหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น "คุณผู้หญิง ฉันว่าที่นายหญิงน้อยพูดก็ถูก เรื่องนี้ให้คุณชายใหญ่รู้ไม่ได้ค่ะ ไม่งั้นคุณชายต้องบังคับให้นายหญิงน้อยไปเอาเด็กออกแน่นอน

"เขากล้าเหรอ?!" สายตาคุณผู้หญิงสีเข้มขึ้น

"คุณชายใหญ่ต่อต้านและไม่ยอมมีลูกมาตลอด ไม่แน่วันใดเขาเกิดใส่ยาทำแท้งลงในถ้วยนายหญิงน้อยขึ้นมา คุณผู้หญิงจะทำอะไรได้คะ?"

ที่พี่เหอพูดมีเหตุผล คุณผู้หญิงเชื่อว่าเรื่องแบบนี้หลานชายสุดที่รักของท่านทำได้แน่ คุณผู้หญิงนิ่งคิดชั่วครูก่อนจะพูดขึ้น "งั้นเรื่องนี้ให้เก็บเป็นความลับไว้ก่อน อย่าให้ใครรู้มากกว่านี้"

"ว่าแต่ ยิ่งอัน นอกจากเธอแล้วยังมีใครที่รู้เรื่องเธอตั้งท้องอีกมั้ย" ท่านจับมือไป๋มู่ชิงแล้วถาม

ไป๋มู่ชิงนึกอยู่ชั่วครู่ นอกจากเหยาเหม่ยก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก เธอเชื่อว่าเหยาเหม่ยไม่มีทางพูดออกไป และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพูดเรื่องนี้ เธอจึงส่ายหน้าตอบ "ไม่มีแล้วค่ะ"

"งั้นก็ดีแล้ว "คุณผู้หญิงยิ้มอย่างดีใจ "ส่วนเฉินเธอไม่ต้องกังวลไป รอให้ลูกคลอดออกมาแล้ว เขาจะทำอะไรได้"

"ใช่ๆ คงไม่ถึงกับฆ่าลูกหรอก" พี่เหอที่ยิ้มดีใจอยู่ข้างพูดเห็นด้วย

เห็นพวกเขาโต้งตอบกันอย่างดีใจ ไป๋มู่ชิงกลับรู้สึกแสลงในอก มีใครจะเหมือนเธอบ้างตั้งท้องทั้งทียังต้องปิดบังไม่ให้พ่อเด็กรู้ ทำอย่างกับเขาเป็นขโมย?

คุณผู้หญิงดีใจเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าไป๋มู่ชิงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เดี๋ยวจะมีผลต่อเหลนของเธอได้ คุณผู้หญิงจึงรีบกุมมือไป๋มู่ชิงแล้วพูดยิ้มๆ "ดูฉันสิ มัวแต่ดีใจจนลืมไปเลยว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวเช้า ไปเถอะ เราไปกินข้าวเช้ากัน รอให้เฉินออกจากบ้านก่อนค่อยเชิญคุณหมอประจำตระกูลมาตรวจดูสุขภาพครรภ์อีกที"

เมื่อตะกี้ที่ลงมือตีเธอแรงขนาดนั้น คิดแล้วก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่เลย

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา ตามพวกท่านออกจากห้องนอนไปยันห้องอาหาร

ภายในห้องอาหาร นอกจากหนานกงเฉินที่ค่อยๆกินอาหารเช้าอยู่ คนอื่นๆกลับนั่งนิ่งไม่มีใครกล้าลงมือทานข้าวก่อน เมือเห็นไป๋มู่ชิงเดินตามคุณผู้หญิงเข้ามา ทุกคนในโต๊ะอาหารต่างพากันมองใบหน้าที่มีรอยแดงของไป๋มู่ชิง

ทุกคนในห้องไม่แปลกใจที่ไป๋มู่ชิงโดนทำโทษ แต่พวกเขาแปลกใจที่คุณผู้หญิงไม่ได้ไล่เธออกจากบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนป่านี้เธอคงโดนโยนออกจากบ้านหนานกงแล้ว

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองไป๋มู่ชิงแวบหนึ่ง ในแววตาไม่มีความเห็นใจใดๆ

ในความคิดเขา ผู้หญิงที่ทำผิดซำ้ๆอย่างเธอไม่มีอะไรต้องเห็นใจ และไม่ควรให้อยู่ที่นี่ต่อไป

ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ถึงความเย็นชาของเขา ใจเธอชาชินจนถึงขีดสุด

ที่แท้เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเป็นแค่ฝันไป สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เย็นชาและใจร้ายใจดำที่สุด

เธอเดินไปนั่งประจำที่ตัวเอง

คุณผู้หญิงเองก็กลับมาทำหน้าจริงจังเหมือนเคย ท่านพูดขึ้นด้วยแววตาวาโรจน์ "วันนี้ฉันจะพูดที่นี่อีกครั้ง หอไหว้บรรพบุรุษบ้านตระกูลหนานกงตั้งป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษไว้หลายช่วงอายุ จะหลบหลู่ไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปถ้ามีใครกล้าแอบเข้าไปอีก ฉันจะลงโทษสถานหนัก ทุกคนเข้าใจหรือยัง?"

"เข้าใจแล้ว" ทุกคนพยักหน้าตอบ ทุกคนเข้าใจตั้งแต่เห็นรอยแดงบนใบหน้าไป๋มู่ชิงแล้ว

หนานกงเฉินวางช้อนส้อมลง ขณะที่กำลังเช็คปากก็พูดเย้ยขึ้น "คุณย่า ผมนึกว่าคุณย่าจะไล่เธอไป แล้วหาภรรยาคนใหม่ให้ผสซะอีก"

คุณผู้หญิงมองเขาแวบหนึ่ง ตอนแรกท่านก็คิดแบบนี้ แต่ตอนี้ไป๋มู่ชิงตั้งท้องแล้ว ที่ตั้งใจไว้ก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน

คุณผู้หญิงหลบสายตาหนานกงเฉินที่จ้องมองมา ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วพูด "เธอมีแหวนอยู่ในมือ ถือว่าเธอโชคดีไปแล้วกัน แต่ต่อไปถ้าทำผิดอีก ฉันจะไม่ให้อภัยเธออีกเด็ดขาด"

ประโยคหลังท่านหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงก้มหน้าตอบ "ค่ะ"

เธอกัดฟันพูดในใจ : หนานกงเฉิน คุณใจดำมาก!

หลังอาหารเช้า ผู่เหลียนเหยาพาไป๋มู่ชิงกลับห้องพัก

ผู่เหลียนเหยาหากล่องยามาทำแผลบนใบหน้าให้เธอพร้อมบ่นว่า ทำไมถึงทำอะไรไง่ๆแบบนี้นะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคุณย่าเป็นคนยังไง คุณย่าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเสมอ เวลาลงโทษคนขึ้นมาก็หนักและรุนแรงมาก"

ไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็รู้สึกน้อยใจจนน้ำตาเอ่อเต็มดวงตา

ผู่เหลียนเหยายังบ่นเธอไม่หยุด "ฉันย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าไปสนใจเรื่องเล่าลือของบ้านหนานกง อย่าไปทำผิดกฏบ้านตระกูลหนานกงก็ไม่ฟัง ยังแอบเข้าไปสืบหาความจริงที่หอไหว้บรรพบุรุษอีก ตอนนี้เป็นไงล่ะ?" เธอพูดพร้อมยกนิ้วนางข้างขวาของไป๋มู่ชิงขึ้นมา "ยังดีที่มีแหวนวงนี้ ไม่งั้นก็คงโดนคุณย่าไล่ออกไปจากบ้านตระกูลหนานกงแล้ว"

ไป๋มู่ชิงฟังคำบ่นของผู่เหลียนเหยาเงียบๆ ในใจรู้สึกขื่นขมไปหมด

ในเวลานี้เธอยังคงคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืน สรุปมันคือเรื่องจริงหรือเป็นแค่ความฝันกันแน่ เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

พี่เหอพาคุณหมอประจำตระกูลเดินเข้ามา ไป๋มู่ชิงรีบยืนขึ้นจากโซฟา เธอตกใจเล็กน้อยที่มีมีคุณหมอมา สถานการณ์แบบนี้เธอไม่น่าจะได้รับการดูแลดีขนาดนี้

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าคุณหมอเข้ามาก็นั่งลงบนโซฟาไม่พูดอะไรซักคำ

พี่เหอมองหน้าไป๋มู่ชิงนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดกับเหลียนเหยา "คุณหนูผู่ เมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงใช้ไม้เท้าตีนายหญิงน้อย เลยกังวลว่าอาจมีการช้ำใน ท่านให้พาคุณหมอมาตรวจดูหน่อยค่ะ"

"คุณย่าใช้ไม้เท้าตีพี่ด้วยเหรอ?" ผู่เหลียนเหยาหันไปถามไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้าห่วงใย "แล้วทำไมพี่ไม่บอก ฉันจะได้ช่วยดูให้"

"ไม่เป็นไร เธอไปทำงานเถอะ เดี๋ยวฉันให้คุณหมอช่วยตรวจให้เอง" ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอเล็กน้อย

หลังจากันผู่เหลียนเหยาออกไปแล้ว คุณหมอประจำตระกูลก็ทำการตรวจเบื้องต้นให้ไป๋มูนชิง พร้อมเช็คเรื่องเธอตั้งครรภ์และตรวจความปกติของทารถในครรภ์ให้ด้วย

พี่เหอนำข่าวนี้ไปแจ้งคุณผู้หญิงทันที คุณผู้หญิงดีใจจนเก็บอาการไม่มิด ต้องการจะฟังเสียงหัวใจของเด็กน้อยให้ได้

เมื่อได้ยินเสียงหัวใจเต้นของทารถน้อย คุณผู้หญิงยิ้มอย่างมีความสุข "ฟังดูสิ เหมือนเสียงรถไฟวิ่งบนรางมั้ย?"

"เหมือน เหมือนมากเลยค่ะ" พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆพยักหน้าตอบ "ฟังเสียงก็รู้เลยว่าต้องเป็นเด็กน้อยที่แข็งแรงมาก"

"แน่นอน แข็งแรง ต้องแข็งแรงแน่นอน!"

ไป๋มูชิงได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกเห็นด้วยว่าเสียงหัวใจลูกน้อยยิ่งฟังยิ่งคล้ายเสียงรถไฟวิ่งบนรางจริงๆ นี่เป็นลูกของเธอ ลูกที่มีชีวิตจริงๆ

มุมปากเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีความสุขไปกับพวกท่าน

หลังจากส่งคุณหมอเรียบร้อย คุณผู้หญิงก็ให้ไป๋มู่ชิงนอนพักบนเตียง ส่วนท่านนั่งอยู่ข้างๆเอามือกุมมือเธอไว้และพูดกับเธอว่า "ยิ่งอัน เฉินไม่อยากมีลูกเพราะเขากลัวว่าลูกเกิดมาจะสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเขา เพราะ่งั้นเพื่อลูกในท้องเธอต้องคอยดูแลตัวเองให้ดีรู้มั้ย?"

ไป๋มู่ชิงพยักหน้ารับ มือที่ถูกคุณผู้หญิงกุมอยู่กระตุกเล็กน้อย

"กินอาหารที่มีประโยชน์ให้มาก ส่วนอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์อย่างพวกของดิบของทอดก็อย่าไปกินเลยนะ แล้วก็ต้องทำอารมณ์ให้แจ่มใสอย่าเครียด สภาพอารมณ์ของแม่จะมีผลกระทบกับลูกในท้องโดยตรงรู้มั้ย?"

ไป๋มู่ชิงยังคงพยักหน้ารับ เธอรู้ว่าระหว่างที่ตั้งครรภ์การมีสภาพจิตใจที่ดีไม่เครียดเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เธอต้องอยู่กับคนเหล่านี้ที่เย็นชาและร้ายหัวใจ เธอจะมีสภาพจิตใจที่ดีได้ยังไง?

คุณผู้หญิงดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไร "เธอมีเรื่องสังสัยอยากรู้เกี่ยวกับหนานกงเฉินใช่มั้ย? เธอถามมา ฉันจะบอกเธอเอง"

ไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกใจ คุณผู้หญิงจะบอกเธอจริงเหรอ?

"หวังว่ามันจะทำให้เธอหมดข้อสงสัยในใจ และช่วยให้เธอสบายใจขึ้นได้" คุณผู้หญิงพูดเสริมขึ้นอีก

ไป๋มู่ชิงเกือบจะหลุดปากถามเรื่องหอไหว้บรรพบุรุษออกไปแล้ว แต่นึกขึ้นได้ก่อนว่าเธอเพิ่งจะโดนทำโทษเพราะเรื่องหอไหว้บรรพบุรุษ ถ้าเธอถามเรื่องนี้อีกไม่รู้คุณผู้หญิงจะ........

คือ.......วันก่อนมีเพื่อนให้ภาพวาดมา เป็นภาพวาดที่มีชื่อว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง] ในภาพวาดเป็นรูปหญิงามคนหนึ่งในชุดสีขาว หนูได้นำภาพวาดไปแขวนไหว้ในห้องนอน แต่ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่เห็นเข้าจะโมโหฉุนเฉียวมากถึงขนาดทำลายภาพวาด หนูแค่อยากรู้ว่าทำไม.....คุณชายใหญ่เห็นภาพวาดแล้วถึงได้ฉุนเฉียวขนาดนั้น

เธอถามอย่างระมัดระวัง และอ้อมค้อม หวังให้คุณผู้หญิงบอกความลับของ [คุณผู้หญิงจิ้ง] กับเธอ

คุณผู้หญิงฟังแล้วไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจอะไร แต่กลับพูดขึ้นยิ้มๆ "เรื่องนั้นฉันได้ถามพี่เหอแล้ว ยังรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน จึงได้สั่งให้คนไปหาภาพวาดมาให้ดู ถึงได้รู้ว่าที่หนานกงเฉินเกิดอาการโมโหฉุนเฉียวนั้นเป็นเพราะว่ารูปผู้หญิงในภาพมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับคุณหนูจูนั้นเอง"

คุณผู้หญิงไม่ได้พูดถึงหอไหว้บรรพบุรุษแม้แต่คำเดียว ไป๋มู่ชิงรู้สึกสับสนในหัว นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ฝันร้ายไปจริงๆ?

หรือว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง] ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องคนรักในภพชาติที่แล้วของหนานกงเฉิน แต่เกี่ยวข้องกับรักแรกของหนานกงเฉินแทน?

"คุณหนูจู?" เธอถามขึ้นเบาๆ

"ใช่ คุณหนูจูเป็นรักแรกของเฉิน" พูดถึงตรงนี้คุณผู้หญิงก็ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ "เห็นเฉินดูเงียบขรึมเย็นชาแบบนี้ ถ้าเกิดได้รักผู้หญิงคนไหนแล้วล่ะก็ เขาจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ อันที่จริงฉันเองก็ไม่ได้ถูกใจคุณหนูจูคนนี้เท่าไหร่ แต่จะทำยังไงได้ผู้หญิงที่เฉินชอบฉันจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าคุณหนูจูคนนี้พอรู้เรื่องเล่าลือของหนานกงเฉิน เธอก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเลย"

เรื่องนี้ผู่เหลียนเหยาเคยเล่าให้ไป๋มู่ชิงฟังเหมือนกัน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง!

"เหมือนมากเหรอคะ?"

"ดวงตาเหมือนมาก มองแวบแรกก็รู้เลย"

"งั้น......เรื่องเล่าของบ้านตระกูลหนานกงจริงแท้มากน้อยแค่ไหนคะ?" เธออดถามไม่ได้

"นอกจากเรื่องเฉินป่วยตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง" คุณผู้หญิงจ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง "เธอกำลังจะเป็นแม่ของลูกในท้องที่เป็นลูกของเฉิน ดังนั้นเธอต้องมีความเชื่อมั่นในครบอครัวนี้ ต้องพยายามที่จะประคับประครองครอบครัวให้ไปได้ด้วยดี เข้าใจมั้ย?"

ไม่มีอะไรเป็นเรื่องงจริง? ไป๋มู่ชิงมองหน้าท่านด้วยความสงสัย

คุณผู้หญิงพูดต่อ "ลือกันว่าเฉินหน้าตาอัปลักษณ์ ลือว่าเขาป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ ยังลือกันว่าเขามีดวงเมียตาย พวกนี้เป็นแค่เรื่องเล่าลือกันไป ลองดูเธอตอนนี้สิก็ยังอยู่ดีเป็นสุขอยู่ไม่ใช่เหรอ"

"รวมทั้งเรื่องคนรักภพชาติที่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอคะ?"

"ไม่ใช่เรื่องจริงเลย" คุณผู้หญิงตอบ

ไป๋มู่ชิงมองหน้าคุณผู้หญิง ท่านดูจริงจัง ไม่เหมือนกำลังโกหกเธอซะนิด แต่ทำไม......เธอยังรู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนน่าจะเป็นเรื่องจริงมากกว่า?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด