เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 70

สรุปบท บทที่70 ไปเที่ยวด้วยกัน: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

สรุปเนื้อหา บทที่70 ไปเที่ยวด้วยกัน – เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี

บท บทที่70 ไปเที่ยวด้วยกัน ของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เยว่กวางจู่อวี อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

วันถัดมา ไป๋มู่ชิงต้องกลับไปซื้อเสื้อที่ห้างสรรพสินค้าดังคืนทุกชุดตามคำสั่งของเขา ตอนเธอรูดบัตรชำระเงินสังเกตเห็นว่าบัตรใบที่หนานกงเฉินให้เธอมานั้นเป็นบัตรทองที่ไม่จำกัดวงเงิน

หนานกงเฉินให้บัตรเธอมาใช้ง่ายๆแบบนี้ ไม่กลัวว่าเธอจะเอาไปใช้อย่างอื่นเหรอ?

ดูแล้วผู้ชายคนนี้สายเปย์นะเนี่ย แต่ก็ไม่รู้ว่ากับผู้หญิงคนอื่นเขาจะใจกว้างแบบนี้เหมือนกันมั้ย อีกอย่างบัตรเสริมแบบนี้ก็ไม่รู้ให้ออกไปกี่ใบแล้ว

นั้นมันก็เป็นเงินของบ้านตระกูลหนานกง เขาจะให้ใครมันก็เรื่องของเขา เธอไม่มีสิทธ์ิเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว

หลังออกจากห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เธอก็มาที่โรงพยาบาลด้วยความดีใจ เธอเอาบัตรเครดิตสีทองใบนั้นวางบนมือจ้างเฟยหยาง: "เฟยหยางไม่ต้องเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันของเด็กๆแล้วนะ ใช้บัตรนี้รูดได้เลย ไม่จำกัดวงเงิน"

จ้าวเฟยหยางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจของเธอ แล้วก้มมองไปที่บัตรเครดิตสีทองในมือ ก่อนยิ้มให้เธอบางๆ "เขาให้เธอเหรอ?"

"ใช่แล้ว"

"เขาให้ไว้ทำอะไร?"

"ก็ให้ฉัน.....ไว้ใช้จ่ายไง" ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ความจริงแล้วหนานกงเฉินก็ไม่ได้บอกว่าบัตรใบนี้ต้องคืนให้เขาเมื่อไหร่ แต่เธอเห็นว่าเป็นแค่บัตรเสริมใบหนึ่งหนานกงเฉินคงไม่คิดจะเอาคืนแล้ว เธอเลยเอามาให้จ้าวเฟยหยางไว้ใช้ยามฉุกเฉิน"

จ้าวเฟยหยางแทบไม่ได้คิดอะไรก็ยื่นบัตรคืนให้เธอ

"เอาไป......." จ้าวเฟยหยางยังไม่ทันจะพูดว่า'เอาไปคืนเขาเถอะ' ก็มีสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมาจากระเบียง

เธอยื่นมือมาแย่งบัตรที่อยู่ในมือจ้างเฟยหยางไป แล้วโยนคืนให้ไป๋มู่ชิง ก่อนจะยกมือชี้หน้าจ้าวเฟยหยางและพูดขึ้นเสียงดัง : "จ้าวเฟยหยาง! นี่หมายความว่าไง? เงินของเธอคุณรับไว้ได้ แต่พอเป็นเงินของฉันคุณไม่รับไว้แม้แต่แดงเดียว คุณชอบเธอใช่มั้ย? หึ! ฉันดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณชอบเธอ"

"หยวนกุย อย่าพูดไปเรื่อยสิ" ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปจับแขนเธอไว้และส่งสัญญาณให้เธอเบาๆเสียง "ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเบาๆเสียงหน่อยได้มั้ย"

"ไม่ได้!" หยวนกุยที่เพิ่งทะเลาะกับจ้าวเฟยหยางไปก่อนหน้านี้สะบัดมือไป๋มู่ชิงออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ : " เสี่ยวลี่เป็นเด็กที่ฉันกับเขาเก็บมาเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน เขาก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน มันเป็นความรับผิดชอบของฉันด้วย แล้วทำไมถึงรับแต่เงินช่วยเหลือจากเธอแต่ไม่ยอมรับเงินของฉัน?"

"นั้นก็เพราะว่า......." ไป๋มู่ชิงมองจ้าวเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างมแวบหนึ่ง ก่อนจะดึงหยวนกุยเดินออกไปนอกห้องผู้ป่วย พอถึงตรงทางเดินที่จะมุ่งหน้าไปยันสวนดอกไม้เธอก็ปล่อยมือ เธอมองหน้าหยอนกุยและถามขึ้น: "เธอไม่ใช่เดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศแล้วเหรอ? แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"

'เพิ่มกลับมาวันนี้" หยวนกุยยังอารมณ์ไม่ดีขึ้น

"เพราะเสี่ยวลี่ถึงรีบกลับมาเหรอ?"

"ก็ใช่สิ ไม่คิดว่ากลับมาแล้วต้องมาอารมณ์เสียขนาดนี้" หยวนกุยพูดเสร็จก็จ้องมองเธออย่างจับผิด "ที่เขายอมรับเงินช่วยเหลือจากเธอ เพราะเขาชอบเธอใช่มั้ย"

ไป๋มู่ชิงยิ้ม: "กุย นี่เธอยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าเฟยหยางเริ่มหวั่นไหวกับเธอแล้วนะ แต่เพราะถานะทางครอบครัวของเธอสองคนแตกต่างกันมาก เขาจำเป็นต้องแยกแยะเรื่องนี้ให้ชัดเจน ถึงไม่อยากรับเงินจากเธอไง"

หยวนกุยมีสีหน้าแปลกใจ "จริงเหรอ?"

"จริงแท้แน่นอน"

"แต่เขาก็ไม่ควรทำถึงขนาดไม่นึกถึงชีวิตเสี่ยวลี่นี่นา"

การผ่าตัดของเสี่ยวลี่มีความเสี่ยงสูงมาก ก่อนหน้านี้เฟยหยางก็ยังไม่คิดจะให้เขาผ่าตัด ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตบบ่าเธอเบาๆ เธอกลับมาก็ดีละ ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเฟยหยางจะลำบากอยู่คนเดียว"

"เธอจะมาเป็นห่วงเขาทำไม?" หยวนกุยย่นคิ้ว

"ฉันกับเขาเป็นเพื่อนสนิทกันที่นา ก็ต้องเป็นห่วงกันเป็นธรรมดา" ไป๋มู่ชิงขยิบตาให้เธอ "ไม่พูดกับเธอละ ฉันไปหาเสี่ยวลี่ดีกว่า"

พูดจบเธอก็เดินออกจากสวนดอกไม้ลอยฟ้า ไปยันทางขึ้นลิฟต์

ไป๋มู่ชิงนำภาพวาดที่ร่างเสร็จไปครึ่งหนึ่งขึ้นมาวาดต่ออย่างตั้งใจ

พรุ่งนี้เป็นวันที่เสี่ยวลี่ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว เธอต้องเร่งมือวาดให้เสร็จเพื่อมอบให้เสี่ยวลี่ก่อนที่เขาจะเข้าห้องผ่าตัด

ระหว่างที่กำลังวาดรูป คุณผู้หญิงมีเข้ามาถามถึงอาการเธออย่างเป็นห่วง พี่เหอยังนำซุปไก่ตุ๋นมาให้เธอหนึ่งถ้วย เธอได้รับกันดูแลดีจนรู้สึกอึดอัด

รอจนให้พวกท่านออกจากห้องไป ในห้องเงียบสงบลงได้ชั่วครู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก

ไป๋มู่ชิงจำต้องวางดินสอลง แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู พอประตูเปิดออกก็เห็นหนานกงเฉินยืนพิงขอบประตูอยู่หน้าห้อง เธอเตรียมจะดันประตูปิด

หนานกงเฉินรีบเอามือขวางประตูไว้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ "ไป๋มู่ชิง ทำแบบนี้หมายความว่าไง?"

พอปิดประตูไม่ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องยอมปล่อยให้ประตูเปิดออกแล้วจ้องมองเขา "ดึกแล้ว ฉันจะเข้านอนแล้ว"

หนานกงเฉินเหมือนจะเมา เธอได้กลิ่นเหล้าจางๆลอยมาจากตัวเขา

ไป๋มู่ชิงแอบกังวงในใจ เขาคงไม่ใช่อยากขึ้นเตียงกับเธอนะ? อย่านะเห็นเขาว่าผู้ชายเวลาเมาจะแข็งแกร่งมาก เธอยังอยู่ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่

หนานกงเฉินพยายามทรงตัวแล้วชี้ไปที่ตัวเอง "ไม่เห็นเหรอว่าฉันเมาแล้ว?"

"เห็น แล้ว......ยังไง?"

"แล้วเธอว่ายังไงล่ะ?" หนานกงเฉินเอามือจับต้นคอเธอแล้วดันเธอเข้าสู่อ้อมกอดก่อนจะก้มหน้าลงไปหาเธอ ลมหายใจที่มีกลิ่นเหล้าจางๆรดบนหน้าเธอ "อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อให้สามี ปรนนิบัติกล่อมสามีนอน.......นี่ไม่ใช่หน้าที่ของภรรยาหรอกเหรอ?"

จริงๆด้วย! เขามาเพราะเรื่องนี้จริงๆ

ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล จนมามีเรื่องที่เธอแอบเข้าไปหอไหว้บรรพบุรุษ ทำให้เกิดความคับข้องใจต่างๆขึ้นมากมาย ทั้งสองเลยไม่เคยนอนร่วมเตียงกันอีก เธอนึกว่าเขาอาจจะเบื่อจนไม่อยากแตะต้องเธออีกแล้ว ไม่คิดว่า.......

ทำไงได้ ไป๋มู่ชิงจำต้องประคองเขาเข้ามาในห้องนอน แล้วพาเขาไปนั่งตรงโซฟาก่อนจะเข้าไปเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำให้เขา และช่วยเขาถอดเสื้อออก

ถึงจะแต่งงานกับเขาได้สามเดือนกว่าแล้ว คลอเคลียใกล้ชิดกันก็หลายครั้ง และยังตั้งท้องลูกเขาอีก แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอต้องช่วยเขาถอดเสื้อ ยังไม่ทันได้เริ่มลงมือเธอก็รู้สึกหน้าแดงจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

เสื้อที่เขาใส่แกะกระดุมออกจากรางยากไปอีก

หนานกงเฉินไม่ได้เมามาก เขาแค่เหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว เลยต้องมากวนเธอ เห็นเธอหน้าแดงเป็ลูกตำลึง มือก็สั่งนิดๆ ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น: "ทำไมต้องแกล้งทำเป็นอาย?"

"ใครแกล้งทำ?" ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่พอใจจ้องมองเขาแวบหนึ่ง พูดขึ้นเสียงเบา "ก็ฉันไม่เคยช่วยผู้ชายถอดเสื้อมาก่อนนิ"

"ไม่เคยถอดจริงเหรอ?" ที่จริงหนานกงเฉินจะพูดว่า 'เขาดูแล้วเธอก็ไม่เคยถอด'

แต่เท่าที่เขารู้มาสังคมไฮโซ พวกคุณหนูไฮโซไม่มีใครที่ไม่รักสวยรักงาม ไม่ชอบเที่ยวผับบาร์ไม่ใช่เหรอ? ตั้งยี่สิบกว่าแล้วยังไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ชายมาก่อนจะเป็นไปได้ไง?

"ก็ใช่ว่าฉันอยากจะแต่งกับคุณซะเมื่อไหร่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโกหกคุณมั้ง?"

"ที่พูดก็ใช่" หนานกงเฉินรู้สึกรำคาญที่เธอค่อยๆแกะกระดุมทีเม็ดอย่างเชื่องช้าไม่ทันใจ เขาจึงยกมือกระชากกระดุมออกจากรางเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าห้องน้ำอย่างโยกเย่เล็กน้อย

ไป๋มู่ชิงอยากหลบออกไปแต่ก็กังวลว่าเขาจะล้มในห้องน้ำ เลยต้องถือเสื้อครุมเดินตามเข้าไป

เข้ามาแล้วก็คงหนีไม่พ้นที่ต้องช่วยเขาถอดกางเกงและช่วยเขาอาบน้ำ

หน้าเธอแดงมากขึ้น มือก็สั่นหนักกว่าเดิม ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือหัวเข็มขัดของเขามันทันสมัยเกินไปเธอแกะยังไงก็แกะไม่ออกนั่งคลำไปคลำมาอยู่นานแล้ว

รอบนี้หนานกงเฉินไม่ได้ช่วยเธอ เขาเอามือกอดอกพิงเคาน์เตอร์ล้างมือ และมองเธอด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

ไป๋มู่ชิงปรายตามองเขาเงียบๆ ผู้ชานคนนี้......เปลือยท่อนบนนานขนาดนี้ไม่หนาวหรือไง?

กว่าจะแกะหัวเข็มขัดเขาออกได้ก็เป็นนาน ไป๋มู่ชิงรีบดึงกางเกงเขาลงโดยไม่แม้แต่จะมองช่วงล่างของเขา ก่อนจะรีบหมุนตัวชี้ไปที่อ่างอาบน้ำ "เข้าไปสิ"

หนานกงเฉินหุบยิ้มและเดินเข้าไปในอ่างอาบน้ำ เขาเอาตัวแช่ลงไปในน้ำอุ่นเกือบมิด รู้สึกความเหนื่อยล้าทั้งหลายหายไปทันที เขาหลับตาลงซึมซาบความรู้สึกสบายที่เกิดขึ้น

"เธอจะเข้ามาอาบด้วยกันมั้ย?" เขาถามขึ้น

ไม่มีเสียงตอบรับ เขาเลยลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ไม่มีแม้แต่เงาของไป๋มูนชิงแล้ว

ไป๋มู่ชิงหลบออกไปอย่างเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าหนานกงเฉินจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วผลักเธอลงอ่างอาบน้ำด้วย

หนีออกจากห้องน้ำได้แล้วยังไง? เธอจะหนีออกจากห้องนอนด้วยหรือไง?

คืนนี้ดูท่าแล้วยังไงก็คงไม่รอดเงื้อมมือของเขาแล้ว ทำไงดี? เธอควรทำยังไงดี?

ไป๋มู่ชิงเดินไปเดินมาคิดหาวิธีเอาตัวรอด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนกระทั้งได้เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลง

มองจากประตูเห็นหนานกงเฉินกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำแล้ว เธอจึงรีบขึ้นไปบนที่นอน ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมตัวแล้วแกล้งทำเป็นหลับ

นอกจากแกล้งหลับแล้ว ก็ดูจะไม่มีวิธีอื่นแล้ว

เธอเงียบหูฟังเสียงหนานกงเฉินเดินออกจากห้องน้ำ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำชั่วครู่ แล้วเดินตรงมาทางเตียงนอน

เธอรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อย ก่อนได้กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำจางๆ เขาค่อยๆกอดเธอเข้าสู่อ้อมแขนจากด้านหลัง ริมฝีปากอุ่นกดเข้ากับลำคอเธอและเริ่มจูบเบา ๆ

เขาตรงเข้ามาอย่างไม่รีรอแบบนี้ ทำเอาความหวังสุดท้ายในใจไป๋มู่ชิงมลายไปสิ้น ดูท่าแล้วคืนนี้เธอคงไม่รอดแน่แล้ว ได้แต่หวังว่าเขาจะเบาๆมือกับเธอหน่อย!

ตัวเธอยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากการอาบน้ำ พอผสมเข้ากับกลิ่นกายเธอที่หอมสดชื่นเฉพาะตัว ก็กระตุ้นอารมณ์ของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาได้โดยง่าย

ตอนแรกเขาแค่รู้สึกเหนื่อยล้า อยากหาร่างนุ่มๆมากอดนอนซะคืน แต่ไม่คิดว่าแค่กอดก็ไม่อย่างปล่อยมือ

หนานกงเฉินพลิกตัวเธอหันมา ฝ่ามือค่อยๆเลิกชุดนอนเธอขึ้น

ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่พันอยู่รอบเอวเขาหลุดออกไปตั้งแต่ขยับขึ้นเตียงมากอกเธอ เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเขาเต็มตา ร่างกายของไป๋มู่ชิงเองก็เกิดความโหยหาขึ้นมาทันที

แต่สติชนะความยาก เธอทำเป็นงอตัวแล้วทำเสียงครางด้วยความเจ็บปวด

ตอนนั้นที่คุณผู้หญิงบอกเรื่องนี้กับเธอ เธอก็คิดมาตลอดว่าเห็นหน้าตาคุณหนูจูซะครั้ง เพื่อดูว่าเหมือนกันจริงอย่างที่ว่ามั้ย แต่น่าเสียดายคุณหนูจูที่ว่าไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้ดูเลย เธอจึงไม่รู้ว่าจะไปดูได้ที่ไหน

ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสแล้ว ขออภัยกับความไร้มารยาทของเธอด้วยนะ

ผู้หญิงในรูปยังดูเด็กอยู่เลย ดูแล้วน่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ หน้าตาไม่ได้สวยจัดอะไร อันที่จริงยังเทียบเลขาเหยียนไม่ได้เลย แต่มีรูปร่างที่สมส่วน และดวงตากลมโตที่สดใสน่ารัก

เด็กผู้หญิง.......ดูแล้วมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับ [คุณผู้หญิงจิ้ง] จริงๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น คุณผู้หญิงไม่ได้โกหกเธอจริงๆ คุณหนูจูคนนี้มีดวงตาที่คล้าย [คุณผู้หญิงจิ้ง] อย่างมาก

ไป๋มู่ชิงค่อยๆกำโทรศัพท์แน่นขึ้น ในใจรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ถ้ายังนั้นที่หนานกงเฉินทำลายภาพวาดอย่างฉุนเฉียวนั้นก็เพราะคุณหนูจูคนนี้เหรอ?

แล้วเรื่องที่เธอเจอที่โถงด้านหลังของหอไหว้บรรพบุรุษล่ะ ตกลงเป็นแค่ฝันไปเหรอ?

ใช่แล้ว มีครั้งหนึ่งที่หนานกงเฉินโกรธมากจนพูดว่าที่ยังให้เธออยู่ต่อ ส่วนหนึ่งเพราะเธอมีส่วนคล้ายคลึงกับคุณหนูจูคนนี้

เธอพยายามจ้องดูว่ามีส่วนคล้ายคุณหนูจูคนนี้ตรงไหน แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ทำไมถึงบอกว่ามีส่วนคล้ายเธอนะ?

ได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้นไป๋มู่ชิงรีบกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะวางกลับบนโต๊ะตามเดิม

หนานกงเฉินออกจากห้องน้ำมา ยังเห็นเธอนั่งอยู่บนขอบเตียง เลิกคิ้วขึ้นถามเย้า "ทำไม? อารมณ์ค้างเหรอ?"

ไป๋มู่ชิงก้มมองตามสายตาเขา ถึงได้รู้ว่าสาบเสื้อนอนเธอคลายออกจนเห็นเนินอก!

เมื่อกี้มัวแต่แอบดูโทรศัพท์ของหนานกงเฉิน จนลืมใส่เสื้อให้เรียบร้อย เธอรุ้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีก จึงรีบจับเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะก้มหน้าเดินเข้าไปห้องเปลี่ยนเสื้อ

พอเธอแต่งตัวเสร็จ หนานกงเฉินก็ออกจากห้องเธอไปแล้ว

ในห้องอาหารชั้นหนึ่ง คุณผู้หญิงมองมาที่หนานกงเฉินที่แต่งตัวสบายๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย "ทำไม? วันนี้ไม่ได้ทำงานเหรอ?"

วันทำงานแต่ไม่ไปทำงาน นี่ไม่เหมือนหลานผู้บ้างานเธอเลยนินา

"วันนี้ต้องไปดูงานที่เมืองหยานครับ" หนานกงเฉินเริ่มก้มหน้าทานอาหารเช้าบนจาน

"ได้ยินเมืองหยานสองคำ" ในใจไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกๆ

เมืองหยานเป็นเมืองที่เธอเติบโตมา เป็นเมืองเก่าที่ติดทะเล เธอไม่ได้กลับไปหลายปีแล้ว

"ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เรื่องดูงานปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซิ่นเคอ ไม่ต้องไปด้วยตัวเอง" คุณผู้หญิงพูดขึ้น เธอผู้เป็นประมุขของบ้านตระกูลหนานกง จะคอยปกป้องดูแลเขาผู้เป็นสายเลือดเดียวของบ้านหนานกงทุกทีทุกวเวลา

"ใช่แล้ว พี่เฉิน เรื่องเล็กแค่นี้ปล่อยให้ฉันไปแทนเถอะ" เซิ่นเคอพูดเสริม

เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ปกติหนานกงเฉินเป็นคนที่ไม่ชอบออกงานที่สุดขนาดเจรจาธุรกิจหลายร้อยล้านยังไม่ไปเองเลย แต่กับการเปิดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหยานพี่เขากลับจะไปด้วยตัวเอง

"ไม่เป็นไร" หนานกงเฉินพูดไม่เห็นด้วย "ในเมื่อทุกคนก็รู้จักฉันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีก"

"ถึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปตลอด มันไม่ปลอดภัย"

"คุณย่า คุณย่าดูละครมากไปแล้วครับ" หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเทนมสดแก้วหนึ่งให้คุณผู้หญิง "ค่อยๆทานนะครับ ผมไปก่อนนะ"

"เดี๋ยวก่อน" คุณผู้หญิงห้ามเขาไว้ กำลังจะสั่งให้เขายกเลิกการไปดูงาน พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้น "คุณผู้หญิงคะ เมืองหยานเป็นเมืองที่ทิวทัศน์สวยงามและอากาศดี ให้คุณชายใหญ่ไปเถอะค่ะ ถือว่าได้ไปพักผ่อน"

พี่เหอหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "แต่ถ้าคุณผู้หญิงยังเป็นห่วง ก็ให้นายหญิงน้อยไปเป็นเพื่อนก็ได้นะคะ ไปกันสองคนจะได้คอยดูแลกัน"

คุณผู้หญิงเข้าใจความหมายของพี่เหอ แต่เมืองหยานเป็นเมืองที่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไกล ยังไงก็ต้องใช้เวลานั่งเครื่องเป็นชั่วโมง แล้วตอนนี้ไป๋มู่ชิงก็ตั้งท้องอยู่

แต่เมืองหยานก็เป็นเมืองที่ดีจริงๆ เหมาะแก่การเป็นที่ที่ให้คู่รักพากันไปเดต เมื่อก่อนหนานกงเฉินก็เจอกันคุณหนูจูที่นั้น เมืองที่สวยงามขนาดนั้น ให้เขาสองคนไปสร้างสัมพันธ์ให้รักกันมากขึ้นก็ดีเหมือนกัน

คิดได้เช่นนี้ คุณผู้หญิงก็ตัดสินใจให้เขาทั้งสองไปด้วยกัน

ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะรู้สึกผูกพันกับเมืองหยานอยู่ไม่น้อย และอยากกลับไปดูซักครั้ง แต่แค่คิดว่าต้องไปกับหนานกงเฉินความรู้สึกตื่นเต้นดีใจก็หายแวบไปในพริบตา

เธอรีบพูดขึ้นก่อนคุณผู้หญิงจะตอบรับ "ให้เลขาเหยียนเลขาหวง ไปกับคุณชายใหญ่เถอะค่ะ หนูรู้สึก......เวียนหัว"

แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเธอโกหก ไม่ใช่แค่หนานกงเฉินที่ฟังออก คุณผู้หญิงเองก็ฟังออก

แต่เพราะหนานกงเฉินเองก็ไม่ได้อยากเดินทางไปกับเธอ จึงพูดเห็นด้วยกับเธอ "ใช่ ยิ่งเวียนเครื่องจะทรมานมาก อยู่บ้านดีกว่า"

"แค่ชั่วโมงเดียวเอง ไม่ทันได้เวียนหัวก็ถึงเมือหยานแล้ว" คุณผู้หญิงแกล้งทำเป็นไม่พอใจก่อนพูดกับไป๋มู่ชิง "ให้เฉินออกไปคนเดียว เธอไม่กลัวอาการเขากำเริบเหรอ? เธอไม่กังวลใจ?"

ฉัน....... ไป๋มู่ชิงอึ้งไป ก่อนจะก้มหน้าลง "ของโทษค่ะ ฉันไม่ทันคิดถึงจุดนี้"

คุณผู้หญิงพูดขนาดนั้น เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงอีก เลยต้องไปกับเขาด้วย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด