เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 76

สรุปบท บทที่ 76 ทิ้งเขาไว้คนเดียว: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

สรุปตอน บทที่ 76 ทิ้งเขาไว้คนเดียว – จากเรื่อง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี

ตอน บทที่ 76 ทิ้งเขาไว้คนเดียว ของนิยายInternetเรื่องดัง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดยนักเขียน เยว่กวางจู่อวี เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เหอเฟิงถูกตามเข้ามาห้องทำงานของหนานกงเฉิน แต่เช้า

ขณะเดินผ่านแผนกเลขาฯ เหอเฟิงโน้มตัวข้างหูเลขาเฉินแล้วพูดหยอกล้อว่า: "ยอดดวงใจ รู้ไหมว่าคุณชายเฉินเรียกผมมามีเรื่องอะไร?"

เลขาเฉินไม่ชอบใจและมองเขาตาขวาง แววตาไม่พอใจ: "ประธานเหอกรุณาสำรวมด้วยค่ะ"

"เด็กน้อย อย่าเสแสร้งหน่อยเลย" ประธานเหอกรอกตามองบนอย่างขัดใจ เขาคิดไม่ตกว่า ทำไมพนักงานแผนกเลขาของประธานคณะกรรมการบริหารแต่ละคนเหมือนร่างไร้วิญญาณ ไม่เข้าใจคารมอะไรเลย? ช่างแตกต่างจากพนักงานหญิงในแผนกเขาอย่างสิ้นเชิง

"ประธานเหอ เชิญค่ะ" เลขาเฉินผายมือเป็นการเชิญเขา สีหน้ายังคงนิ่งไร้อารมณ์

ยังไม่พูดถึงว่าเธอเกลียดคนที่ประจบรองประธานกรรมการบริหารเซิ่งขึ้นตำแหน่งคนนี้มากแค่ไหน ต่อให้เป็นรองประธานกรรมการบริหารเซิ่งมาเอง เธอก็ไม่กล้าเกี้ยวพาราสีอย่างเปิดเผยหรอก

ถ้าอยากจะทำงานแผนกเลขาของประธานกรรมการบริหารเกิน3เดือน ก่อนอื่นต้องฝึกนิ่งเป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณ เรื่องนี้เธอรู้ตั้งแต่เข้างานวันแรกแล้ว

เมื่อจีบเลขาเหล่านี้ไม่สำเร็จ เหอเฟิงก็หมุนตัวเข้าห้องทำงานของหนานกงเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

ยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน เขาจัดสูทที่สวมอยู่ให้เข้าที่อย่างเคยชิน ปรับสีหน้าให้ดี เคาะประตู แล้วเดินเข้าไป

เมื่ออยู่ต่อหน้าหนานกงเฉิน สีหน้าปรับเป็นเอาการเอางานขึ้นทันที เปลี่ยนเป็นสีหน้าสำรวมไม่ขัดตาแล้วพูดว่า: "คุณชายเฉิน ท่านต้องการพบผม?"

หนานกงเฉินกำลังตอบอีเมล์อยู่ฉบับหนึ่ง พูดโดยไม่เงยหน้า: "จริงๆ แล้วคุณไม่ต้องมาหาผมที่นี่หรอก ไปติดต่อส่งมอบงานที่แผนกบุคคลและบัญชีได้เลย"

"คุณชายเฉิน......หมายความว่ายังไงครับ?" เหอเฟิงรู้สึกใจไม่ดี

หนานกงเฉินเขียนอีเมล์ต่อ หลังจากส่งอีเมล์เรียบร้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้น จับแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะโยนใส่เขาด้วยความโมโห แล้วพูดเสียงเย็นว่า: "คุณดูสิ่งที่คุณทำเองแล้วกัน!"

เหอเฟิงตกใจกับความโกรธที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันของเขา มองแฟ้มที่หล่นบนพื้น แล้วมองเขา แล้วจึงก้มหยิบแฟ้มจากพื้นขึ้นมาเปิดดู

เมื่อเปิดหน้าแรกเห็นข้อมูลของคุณยายจู เขารู้ทันทีว่าเรื่องอะไร เพียงแต่เรื่องนี้ผ่านไปตั้งนานแล้ว ทำไมจู่จจู่หนานกงเฉินจึงพูดถึงเรื่องนี้ และยังโกรธเขามากขนาดนี้ด้วย

เขารู้ดีว่าตอนตัวเองรับผิดชอบเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดอยู่ เพื่อให้ภารกิจสำเร็จไวเป็นเหตุทำให้คุณยายคนนั้นถูกบีบจนต้องกระโดดตึก ในตอนนั้นเขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างค่าชดเชยที่หนานกงกรุ๊ปจ่ายให้ตระกูลจูนั้นสามารถซื้อชีวิตคนได้10ชีวิตเลยทีเดียว

ตอนนั้นเขาไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับหนานกงเฉิน เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น อีกเหตุผลหนึ่งคือกลัวว่าตนจะถูกตำหนิว่าทำงานไม่ดี กระทบต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขา ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้คงผ่านไปแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าผ่านไปตั้งหลายปียังถูกขุดขึ้นมาอีก

เขาแอบชำเลืองมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างระมัดระวัง: "คุณชายเฉิน เรื่องนี้ตอนนั้นผมวางแผนไม่รอบคอบ แต่หลังจากนั้นผมจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว คนของตระกูลจูได้รับเงินชดเชยไปก็ไม่เคยมาวุ่ยวายกับพวกเราอีก ดังนั้น......"

"ดังนั้นคุณจึงมารายงานผมว่าทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ด้วยใจที่ไม่รู้สึกผิดต่อศีลธรรมใดๆ เลยใช่ไหม?" หนานกงเฉินขัดขึ้น

"คนที่ตายแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ อีกอย่าง......ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ"

"ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจ?"

เหอเฟิงถูกประโยคนี้โจมตีจนเกิดความรู้สึกผิด ความจริงแล้วตอนนั้นเขาตั้งใจ เพราะเจ้าของบ้านสวนจูคือคุณยายจู เป็นตายร้ายดียังไงคุณยายจูก็ไม่ยอมขายบ้าน เขาคิดว่าแค่กำจัดเธอทิ้งตัวเองจึงจะเสร็จสิ้นภารกิจตามเวลาที่กำหนด จึงร่วมมือกับลูกชายที่ไม่เอาไหนของเธอจัดการเธอ

แต่ว่า......ต่อให้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ ก็ทำเพื่อจะได้ซื้อบ้านสวนจูให้เขาได้โดยเร็วที่สุด คงไม่ไล่เขาออกด้วยเหตุผลนี้หรอกนะ?

"คุณออกไปได้แล้ว" หนานกงเฉินหลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่แยแส

สอบสวนเรื่องนี้ตอนนี้มีประโยชน์อะไร? คนก็ตายไปแล้ว

เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ตอนนั้นถ้าจูจูรูว่าคนในครอบครัวที่เธอรักมากที่สุดตายเพราะเขา จะยังรักเขา และตามเขากลับมาที่เมืองซีไหม?

สีหน้าของเหอเฟิงเปลี่ยนไปทันที พูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า: "คุณชายเฉิน......คุณหมายความว่ายังไง? คงไม่ไล่ผมออกจากหนานกงกรุ๊ปเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมครับ?"

"หากไม่เห็นแก่หน้าของคุณลุง ผมไม่อยากแม้แต่จะพบคุณในวันนี้ด้วยซ้ำ" หนานกงเฉินพูดเสียงแข็ง ปิดด้วยคำว่า: "ไปสะ--!"

เหอเฟิงรู้นิสัยของหนานกงเฉินดี เรื่องที่เขาติดสินใจไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ และไม่ชอบฟังคำแก้ตัวจากลูกน้อง ตอนนี้ไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือรีบหายตัวไปจากที่นี่ แล้วไปขอร้องให้รองประธานกรรมการบริหารเซิ่งช่วยออกหน้าแทน วิธีนี้อาจมีโอกาสพลิกผลลัพธ์ได้บ้าง

เหอเฟิงดึงประตูเปิดออกแล้วเดินออกไป เห็นเหล่าเลขาสาวนั่งมองเขาอยู่ อีกครั้ง ที่พวกเธอได้เจอกับความเด็ดขาดเย็นชาของหนานกงเฉิน

ประธานเหอเป็นถึงหลานแท้ๆ ของรองประธานกรรมการบริหารเซิ่ง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารที่บริษัทได้บ่มเพาะมานานหลายปี กลับถูกไล่ออกโดยไม่ฟังข้อแก้ตัวใดๆ

ดังคาด เหอเฟิงเพิ่งก้าวขาออกไป รองประธานกรรมการบริหารเซิ่ง เซิ่งตงหยางก็รีบตามหลังเข้ามาขอร้อง

แต่หนานกงเฉินเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องมา จึงกำชับเลขาไว้ก่อนหน้านี้ให้แจ้งเขาว่า ถ้าจะมาคุยเรื่องเหอเฟิงก็ไม่ต้องเข้ามา ความหมายชัดเจนมาก ไม่ว่าใครจะมาช่วยพูดก็ไม่มีประโยชน์

ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หนานกงเฉินโกรธมากขนาดนี้ รวมถึงตัวเหอเฟิงเองก็ไม่อาจรู้สาเหตุได้

เลขาเหยียนเคาะประตูหนึ่งครั้ง ก่อนเดินเข้าไปคุยกับหนานกงเฉิน: "คุณชายเฉิน รองประธานกรรมการบริหารเซิ่งบอกว่า เรื่องของประธานเหอแล้วแต่คุณจัดการเลยค่ะ"

"อืม" หนานกงเฉินตอบรับ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้คุณลุงต้องไม่พอใจแน่ แต่ก็ไม่กระทบต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขา

"คืนนี้ยังมีกำหนดการอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีผมจะกลับบ้านแล้ว" หนานกงเฉินปิดสมุดลง

"คุณชายเฉิน คุณลืมหรอคะวันนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของนายกเทศมนตรีเฝิง ท่านได้เรียนเชิญให้คุณไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด" เลขาเหยียนกล่าว

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะงานใหญ่เล็กคนอื่นๆ ก็จะร่อนจดหมายเชิญมายังหนานกงกรุ๊ป แต่จะให้คนอื่นไปแทน ตั้งแต่หนานกงเฉินถูกเปิดเผยตัว เมื่อมีคนส่งการ์ดเชิญมาก็จะระบุเป็นชื่อของหนานกงเฉิน เรียนเชิญเขาด้วยความจริงใจ

แม้ว่างานส่วนใหญ่หนานกงเฉินจะให้เซิ่งเคอไปแทน แต่งานเลี้ยงคืนนี้เจ้าของงานเป็นถึงนายกเทศมนตรีเมืองซี และยังจัดเป็นงานเลี้ยงการกุศลเพื่อบังหน้าอีก

เมื่อนายกเทศมนตรีระบุชื่อมา ต่อให้เขาไม่อยากไปแค่ไหนก็ไม่อาจปฏิเสธได้

หนานกงเฉินใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: "ได้ ผมทราบแล้ว"

"คุณชายเฉิน คุณจะพานายหญิงน้อยออกงานหรือว่าคู่ออกงานคนอื่นคะ?" เลขาเหยียนถามอย่างนอบน้อม แววตาที่จริงจังแฝงความคาดหวังอยู่เล็กน้อย

หนานกงเฉินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ตอบเธอว่า: "คุณช่วยติดต่อนายหญิงน้อยแทนผม แล้วพาเธอไปเลือกชุดเพื่อออกงานด้วย"

แม้ว่าเขาจะไม่อยากออกงานกับไป๋มู่ชิง แต่ถ้าไม่พาภรรยาออกงาน และพาหญิงอื่นไปก็จะถูกผู้อื่นครหาอีก เพราะคนข้างนอกไม่มีใครเห็นงามกับการแต่งงานของเขาอยู่แล้ว

"ค่ะ ดิฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้" ความคาดหวังเล็กๆ ในใจหายไป เลขาเหยียนพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ไป๋มู่ชิงที่เพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ใจอยากไปเยี่ยมเสี่ยวลี่มากๆ คิดหาเหตุผลดีดีที่จะไปขออนุญาตพี่เหอเพื่อออกจากบ้านไม่ได้มาครึ่งวันแล้ว

กลับเป็นพี่เหอ ที่มาเคาะห้องเธอก่อน ยังไม่ทันที่เธอจะขออนุญาตออกจากบ้านก็ได้รับแจ้งว่าเธอจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของนายกเทศมนตรีกับหนานกงเฉินในคืนนี้

ไปร่วมงานเลี้ยงกับหนานกงเฉิน? เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิหาบนผนังห้อง ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ดูท่าวันนี้ก็อดเจอเสี่ยวลี่อีก

"นายหญิงน้อย เลขาเหยียนรอพาคุณไปเลือกชุดราตรีอยู่ชั้นล่าง คุณรีบลงไปเถอะ" พี่เหอกล่าว

"เอ่อ......ต้องไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?" แค่จินตนาการถึงการเสแสร้งรูปแบบต่างๆ พิธีการต่างๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเบื่อ หนานกงเฉินก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเธอรับมือกับสถานการณ์พวกนั้นไม่ได้

"นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายใหญ่ไปร่วมงานเลี้ยง คุณเป็นภรรยาเขายังไงก็ต้องอยู่เคียงข้างเขา" ตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งครรภ์ พี่เหอปฏิบัติต่อเธอดีขึ้น180องศาตามคุณผู้หญิง พูดด้วยรอยยิ้ม: "ตอนนี้คุณชายใหญ่เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งเมืองซี คนอยากออกงานคู่เขามากมายจนนับไม่ถ้วน นายหญิงน้อยจะปล่อยให้โอกาสที่ดีขนาดนี้ไปตกอยู่ในมือผู้หญิงอื่นหรอคะ?"

พี่เหอพูดมามีเหตุผลมาก สามีที่ฮอตขนาดนี้ถ้าไม่ดูแลให้ดีอาจถูกแย่งไปได้ ดังนั้นเธอจึงฝืนใจตัวเองสักนิด ยึดครองตำแหน่งคู่ออกงานของเขาให้จงได้

ก่อนออกจากบ้าน พี่เหอกำชับว่า: "นายหญิงน้อย พึงจำไว้ว่าตัวเองเป็นหญิงมีครรภ์ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์นะคะ"

"สบายใจเถอะค่ะ ดิฉันจะระวังให้มากขึ้น" ไป๋มู่ชิงพูดจบจึงเดินออกจากห้องนอนไปยังชั้นล่าง

ไป๋มู่ชิงไปตามเลขาเหยียน มาถึงห้างฯ หรูที่เคยมาซื้อเสื้อผ้ากับหนานกงเฉินคราวที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเลขาเหยียนคุ้นเคยกับที่นี่มาก ตรงไปยังร้านสั่งจองชุดสำหรับร่วมงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

เจ้าของร้านต้อนรับทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้น มองไปมู่ชิงด้วยสายตาสงสัย

เลขาเหยียนยิ้มบางๆ: "ท่านนี้เป็นภรรยาของคุณชายเฉิน รบกวนคุณช่วยแนะนำชุดราตรีที่เหมาะกับเธอสักสองสามชุด อืม......เอาแบบไม่หรูหราเกิน เรียบง่ายแต่ดูสวยสง่าก็พอค่ะ"

หนานกงเฉินไม่ชอบผู้หญิงที่จัดจ้านเกินไป เรื่องนี้เธอรู้ดี

พูดจบเธอก็พูดกับไป๋มู่ชิงว่า: นายหญิงน้อย คุณเองก็เดินดูสักหน่อย ลองดูว่ามีแบบที่ชอบไหม สามารถหยิบไปลองก่อนได้

"ได้ค่ะ" ไป๋มู่ชิงไม่มีความรู้ในการเลือกชุดราตรีเลย แต่ว่าในฐานะนายหญิงน้อยตระกูลหนานกงถ้าไม่ออกความเห็นเลยก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเหมือนกัน คิดได้ดังนั้น ก็แสร้งทำเป็นเลือกดูชุดราตรีที่ถูกแขวนไว้บนราว

แน่นอนว่า สุดท้ายเธอก็เลือกแบบที่ทางเจ้าของร้านแนะนำ

จากประสบการณ์คราวที่แล้ว รอบนี้เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่เลือกชุดสีขาวอีก แต่เลือกชุดสีเขียวมรกตยาวประมาณเข่ามาชุดหนึ่ง

ขนาดของชุดพอดีกับตัวเธอ ดูบริสุทธิ์สดใส เป็นแบบที่เลขาเหยียนคิดเอาไว้ เลขาเหยียนชอบทันทีที่เห็น ยิ้มบางๆ : "ชุดนี้เลยค่ะ คุณชายเฉินต้องชอบแน่ๆ"

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ตัวเธอเองก็ชอบเหมือนกัน

"นายหญิงน้อย นี่เป็นรองเท้าเข้าชุดค่ะ" เจ้าของร้านหยิบรองเท้าส้นสูงเปิดหน้าประดับพลอยเทียมสูงประมาณ12ซม.ออกจากกล่องแล้ววางข้างขาเธอ: "นายหญิงน้อยขาเล็กน่ารัก เบอร์6 น่าจะใส่ได้พอดี"

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นรองเท้าคู่นั้น ดึงขาไปข้างหลังทันที: "ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากใส่ส้นสูง"

เจ้าของร้านและเลขาเหยียนมองหน้ากัน เลขาเหยียนจึงถามขึ้นอย่างสงสัย: "ทำไมล่ะคะ?"

"เพราะว่า......ฉันใส่ส้นสูงไม่เป็น"

"แต่ว่าชุดราตรีไม่ใส่คู่กับส้นสูงจะไม่เข้ากันนะคะ อีกอย่างสาวๆ ที่ไปร่วมงานล้วนใส่ส้นสูงกันทุกคน" เจ้าของร้านกล่าว

"ทำไมเธอไม่เข้าไปในงานล่ะ?" ผู่เหลียนเหยาถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงยิ้ม: "ฉันรู้สึกว่าข้างในอึดอัด จึงออกมาสูดอากาศหายใจสักหน่อย"

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า แล้วถามต่อว่า: "จริงสิ ฉันได้รับขนมรสบ๊วยกับของฝากที่เธอซื้อให้แล้ว ขอบคุณนะ"

"ขอบคุณอะไรกัน ตอนแรกจะเอาไปให้เอง แต่ก็ยังหาโอกาสไปไม่ได้เลย"

"เอาไปให้ที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะหรอ? ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้นเลย" ผู่เหลียนเหยาพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณ: "เธอมีใจคิดถึงกันขนาดนี้ ฉันก็ดีใจมากแล้ว จะกล้าให้เธอมาส่งของด้วยตัวเองอีกได้ยังไง"

"ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาของไปให้เธอโดยเฉพาะหรอก สองสามวันนี้ฉันแพลนว่าจะไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลหงเอินคนนึงน่ะ"

"ใครหรอ? เพื่อนเธอหรอ? ชื่ออะไร เผื่อฉันจะได้ช่วยดูแลอีกแรง"

"ขอบคุณนะ ชื่อเสี่ยวลี่ สองสามวันก่อนเพิ่งผ่าตัดบายพาสหัวใจไป"

"เสี่ยวลี่ เด็กผู้ชายที่ผ่าตัดหัวใจสองสามวันก่อนหรอ?" ผู่เหลียนเหยาประหลาดใจ

ไป๋มู่ชิงไม่คิดว่าผู้เหลียนเหยารู้จักเสี่ยวลี่ ยิ้มแล้วตอบว่า: "ใช่ๆ เธอก็รู้จักเขาหรอ?"

"แน่นอนฉันรู้สิ เด็กคนนี้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของพวกเรามาระยะนึงแล้ว ระหว่างที่รักษาในโรงพยาบาลก็ค้างค่ารักษาอยู่บ่อยๆ จนคุณหมอต่างพากันปวดหัว แต่ว่าเขาเสียชีวิตขณะผ่าตัดเมื่อสองสามวันก่อนแล้วนะ เธอไม่รู้หรอ?" ผู่เหลียนเหยามองเธออย่างประหลาดใจ เห็นอาการตกใจของเธอ จึงรีบถามต่อ: "เธอไม่รู้จริงๆ หรอ? ความเสี่ยงจากการผ่าตัดของเด็กคนนั้นสูงมาก จริงๆ ไม่ควรผ่าตัดด้วยซ้ำ สุดท้ายพอเข้าห้องผ่าตัดไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย"

ไป๋มู่ชิงจ้องเธอด้วยอาการตกใจ ครู่ใหญ่จึงถามเสียงสั่นว่า: "เธอว่าอะไรนะ? เสี่ยวลี่ตายแล้วหรอ?"

จ้าวเฟยหยางบอกเธอว่า การผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นมาก อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนี่

"ใช่สิ......" ผู่เหลียนเหยาเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาบนหน้าของเธอ สีหน้าของเธอก็สลดตามไปด้วย จับมือเธอไว้: "พี่สะใภ้ เธอโอเคไหม?"

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบเธอ ยังคงช็อคอยู่

ครู่หนึ่ง เธอลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน ตรงดิ่งไปยังจุดเรียกรถแท็กซี่นอกโรงแรม

"เฮ้ พี่สะใภ้ เธอเป็นอะไรน่ะ? แล้วเธอจะไปไหน?" ผู่เหลียนเหยาวิ่งตามเธอไป ดึงมือเธอไว้: "งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มนะ เธอไปตอนนี้แล้วพี่ชายจะทำยังไง? พี่สะใภ้......"

ตอนนี้ในใจและในสายตาของไป๋มู่ชิงมีแค่ข่าวการตายของเสี่ยวลี่ ไม่มีใจไปสนใจว่าหนานกงเฉินจะทำยังไงหรอก ตอนนี้เธอแค่อยากเจอจ้าวเฟยหยางให้เร็วที่สุด ถามเขาด้วยตัวเองว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่สำเร็จไหม

เธอโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันนึง แล้วขึ้นไปนั่งพร้อมให้คนขับไปส่งเธอที่โรงพยาบาลหงเอิน

หลังรถออกไปไม่นาน ไป๋มู่ชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าเสี่ยวลี่ตายไปแล้วจริงๆ ตอนนี้เธอไปโรงพยาบาลหงเอินก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว เธอจึงให้คนขับขับไปยังที่พักใหม่ของพวกเด็กๆ

ตอนนี้เด็กๆ อาศัยอยู่ในตึกที่สร้างใหม่ เป็นไปตามที่จ้าวเฟยหยางบอก ชั้นบนและล่างโปร่งแสงและกว้างมาก เป็นที่พักที่ดีเลยทีเดียว

ตอนเธอไปถึง จ้าวเฟยหยางและหยวนกุยกำลังดูแลเด็กๆ ทานข้าว เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงในชุดราตรี แต่สภาพมอมแมม ทั้งสองเข้าใจทันทีว่าเธอมาด้วยเหตุผลอะไร

จ้าวเฟยหยางส่งสายตาให้หยวนกุย แล้วพูดกับเธอ: "ให้ฉันไปอธิบายกับเธอแล้วกัน" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหาไป๋มู่ชิง

เดินตามจ้าวเฟยหยางจนถึงหน้าประตู ไป๋มู่ชิงรีบหันกลับมา จ้องเขาแล้วถามอย่างคาดคั้น: "ทำไมต้องโกหกฉันว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นดี"

จ้าวเฟยหยางสูดหายใจเข้าเบาๆ ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า: "จะเพราะอะไรล่ะ ไม่อยากให้เธอผิดหวังเสียใจ ไม่อยากรบกวนทริปวันหยุดของเธอไง"

"เสี่ยวลี่กับทริปวันหยุดอันไหนสำคัญมากกว่าคุณแยกแยะไม่ได้หรอ? ไป๋มู่ชิงโกรธ: "ถ้าคุณบอกฉันว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่ล้มเหลว ฉันจะต้องรีบกลับมาแน่ๆ"

"รีบกลับมาแล้วยังไงหรอ? นอกจากเศร้าโศกก็คือเสียใจ" จ้าวเฟยหยางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วตบบ่าเธอเบาๆ : "พอเถอะ มู่ชิง ผมรู้ว่าเธอรักเสี่ยวลี่มาก รู้ว่าเธอเสียใจมาก แต่อาการของเสี่ยวลี่ก็เห็นๆ กันอยู่ พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้"

"เป็นเพราะฉัน......" จู่จู่น้ำตาของไป๋มู่ชิงก็ไหลลงมา ร้องไห้อย่างเจ็บปวด: "ฉันเป็นคนเสนอให้เสี่ยวลี่ผ่าตัดเอง ถ้าเสี่ยวลี่ไม่เข้ารับการผ่าตัดก็ไม่จากไปไวขนาดนี้ ฉันผิดเอง......"

ในตอนนั้นธอคิดเพียงแค่ว่ายังไงก็ต้องผ่าตัด นี่เป็นทางออกเดียว ไม่คิดเลยว่าการผ่าตัดครั้งนี้เป็นการส่งเสี่ยวลี่ให้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง

จ้าวเฟยหยางรู้ว่าเธอจะเสียใจ เธอจะโทษตัวเอง จึงปิดบังการตายของเสี่ยวลี่ไว้ไม่บอกเธอ

ตบบ่าเธอด้วยฝ่ามือเบาๆ อีกครั้งแล้วพูดปลอบ: "อาการของเสี่ยวลี่ถ้าไม่ผ่าตัด หมอก็บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นเดือนนี้ ดังนั้นเธออย่าโทษตัวเองเลย เธอทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อเสี่ยวลี่"

"แต่ว่าถ้าไม่ผ่าตัด อย่างน้อยเขาก็อยู่ต่อได้อีกหนึ่งเดือน......"

"แต่เป็นหนึ่งเดือนที่มีชีวิตอยู่อย่างทรมานนะ พวกเราพยายามแล้ว ทำเต็มที่แล้ว เชื่อว่าเสี่ยวลี่จะต้องรับรู้ได้ถึงความหวังดีของพวกเราในอีกภพภูมินึงแน่นอน"

คำปลอบโยนของจ้าวเฟยหยางไม่ช่วยให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ เรื่องการจากไปของเสี่ยวลี่เป็นเรื่องจริง และเธอเป็นต้นคิดที่ให้เสี่ยวลี่รับการผ่าตัด ยากมากที่เธอจะไม่รู้สึกโทษตัวเอง

น้ำตาหลั่งไหลลงมามากกว่าเดิม เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด