หนานกงเฉินชะงักหันกลับมาและจ้องไปที่เธอ: "คุณหวางรู้ได้ยังไง?"
"เขา……."
สีหน้าของหนานกงเฉินเรียบเฉยมากขึ้น "คุณย่าเป็นคนจัดเตรียมงั้นเหรอ?"
"เอ่อ ... " พี่เหอยิ้มแห้ง "คุณชายใหญ่ อย่าโกรธเลยนะคะ คุณผู้หญิงก็แค่หวังดีกับคุณ เป็นห่วงคุณ ... ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
"ทุกครั้งก็จะบอกว่าหวังดีกับฉัน!" หนานกงเฉินพูดขึ้น "ออกไปเดินเล่นซื้อของก็ส่งคนตามฉัน ฉันยังมีอิสระของตัวเองอยู่หรือเปล่า?"
"คุณชายใหญ่......"
"กลับไปบอกท่านซะ! ถ้าเป็นแบบนี้อีกต่อไป... ก็ ... จะไม่ออกข้างนอกตลอดไปเลย" เขาทิ้งท้ายไว้ด้วยความโกรธ
พี่เหอเอาแต่พยักหน้าให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหมุนตัวเดินออกมาจากสายตาของเขา
หนานกงเฉินมองดูร่างของพี่เหอที่เชื่อฟัง และสูดหายใจเบาๆ เขาเคยมีปัญหาเรื่องนี้กับคุณผู้หญิงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าเขาจะทำหรือประท้วงอย่างไร คุณผู้หญิงมักจะดึงดันและอ้างเหตุผลว่าหวังดีกับเขาเสมอ
เขารู้ว่าที่แท้สิ่งที่คุณย่าทำก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง แต่ ... ไม่มีใครชอบความรู้สึกของการถูกจับตามองหรอก!
หนานกงเฉินยืนอยู่ที่ปลายสุดของทางเดินและเงียบไปพักหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินต่อไปทางของลิฟต์ แต่กลับไปที่ประตูวอร์ดของไป๋มู่ชิง
หลังจากมีเรื่องกันเมื่อครู่ ไป๋มู่ชิงโกรธจนน้ำตาไหล เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง
ถึงแม้ว่าจะไม่บาดเจ็บถึงกระดูก แต่เมื่อลุกขึ้นเดินก็ยังรู้สึกเจ็บแผลอยู่ หยุดพักที่ข้างโต๊ะสักเล็กน้อยเพื่อปรับตัว เธอถึงรู้สึกค่อยๆชิน จากนั้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาแล้วรินน้ำให้ตัวเอง
หลังจากดื่มน้ำแล้วเธอต้องการกลับไปนอนพักผ่อน แต่ขาซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถยกขึ้นบนเตียงได้ ความเจ็บปวดทำให้เธอกัดฟันจนเหงื่อออก ....
ไป๋มู่ชิง เธออย่ากลัวความเจ็บปวดไม่ได้เหรอ เธอนึกชิงชังตัวเองอยู่ในใจ ทันทีหลังจากออกแรงก็รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลทันที เธอล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องเสียงต่ำ
แต่เธอไม่ยอมแพ้ เตรงกันข้ามยิ่งผิดหวังจึงยิ่งกล้าหาญมากขึ้น เธอจับที่โครงเตียงพยายามยืนขึ้นอีกครั้ง เธอไม่เชื่อเลยว่าเธอจะไร้ประโยชน์ถึงขนาดไม่สามารถลุกขึ้นมาบนเตียงได้!
ในที่สุดหนานกงเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ก้าวไปหาเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำและก้มตัวเพื่ออุ้มเธอจากพื้นขึ้นบนเตียง
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งมองคนตรงหน้า เธอคิดว่ามันเป็นภาพลวงตา
ไม่ใช่ว่าเขาไปแล้วเหรอ? จะกลับมาอีกทำไมกัน?
หลังจากที่หนานกงเฉินวางเธอลงบนเตียง เขาเหลือบมองเธอและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย "ไม่ใช่ว่าเธออดทนเก่งหรอกเหรอ แค่ขึ้นเตียงทำไมถึงขึ้นไม่ได้ล่ะ?"
"ใครให้คุณมาสนใจล่ะ!" ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยความโกรธ และยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสเช็ดหมอกน้ำตาในดวงตาของเธออย่างรวดเร็ว เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาเห็นน้ำตาและไม่ให้โอกาสเขามีโอกาสได้หัวเราะเยอะเย้ยได้
แต่ถึงอย่างไรหนานกงเฉินก็น้ำตาในดวงตาของเธอมานานแล้ว หนานกงเฉินได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเธอ
รู้จักับเธอมาเนิ่นนาน แต่บางครั้งก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโมโหซะจริงทำไมเขาถึงอ่านบุคลิกเธอไม่ออก แท้ที่จริงแล้วไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นแต่กลับเป็นคนดื้อรั้นเหมือนกระทิง
บุคลิกแบบนี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่มีหน้าตาและความนับถือตนเองแข็งแกร่งกว่าเธอ
ไป๋มู่ชิงมองเขา สีหน้าของเธอเรียบเฉยและพูดว่า: "กลับมาทำไม เมื่อครู่ทะเลาะกันไม่มากพอเหรอคะ"
แน่นอนว่าหนานกงเฉินจะไม่ยอมรับว่าเขาเข้าใจผิดที่ตำหนิเธอ และเขาจะไม่ยอมรับว่าเขารู้สึกผิดและเสียใจในใจ แต่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างยิ่งว่า "ถ้าคุณย่าของฉันไม่บังคับให้ฉันอยู่ที่นี่และรับใช้เธอ ฉันก็คงไปนานแล้ว"
"คุณกำลังรับใช้ฉันอยู่งั้นเหรอ" ไป๋มู่ชิงทำเหมือนกำลังฟังเรื่องตลก
"หมายความว่าไง" หนานกงเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอหมายความว่าอะไร? ไม่ชอบเขางั้นเหรอ?
"ฉันรู้สึกขอบคุณมากถ้าคุณจะประชดฉันให้น้อยลง" ไป๋มู่ชิงโบกมือและชี้ไปที่ประตู "คุณชายใหญ่ ถ้าคุณไม่อยากให้ตายอยู่ที่นี่ล่ะก็ ช่วยกรุณาออกไปตอนนี้เลยค่ะ"
ในตอนท้ายเธอไม่ลืมที่จะพูดอีกว่า "คุณวางใจได้ค่ะ ฉันจะจัดการเรื่องทางคุณย่าให้ชัดเจน"
"จัดการงั้นเหรอ?เธอจะจัดการอะไรต่อหน้าคุณย่าได้"หนานกงเฉินดูหมิ่น "อย่าคิดว่าทัศนคติของคุณย่าที่มีต่อจะดีขึ้นในเร็วๆนี้หรอกนะ เธอน่ะเอาใจคนแก่เก่งจริงๆเลยนะ จะบอกให้นะว่า ย่าน่ะใจแข็งเหมือนทำมาจากเหล็ก ชีวิตนี้ไม่เคยชอบใครจริงๆเลยสักคน "
ไป๋มู่ชิงโดนเขาขัดจนเงียบไป แต่คำพูดของเขานั้นถูกทุกอย่าง
คุณผู้หญิงดีกับเธอ ไม่ใช่เพราะชอบเธอ แต่เป็นเพราะลูกในท้อง เธอรับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด
ไป๋มู่ชิงจึงไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก หันหลังให้เขาและเริ่มเล่นโทรศัพท์
ด้านหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดึงดันต่อ และเดินไปนั่งที่โซฟา
หลังจากอยู่ในวอร์ดได้สักพัก หนานกงเฉินก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้และลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมพูดกับเธอว่า"ฉันจะออกไปหาอะไรกิน เธออยากกินอะไร?"
"อะไรก็ได้" ไป๋มู่ชิงไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
หนานกงเฉินปฏิเสธที่จะยอมรับคำตอบของเธอและกล่าวว่า "ไม่มีอะไรก็ได้"
"ฉันอยากกินขนม" แม้ว่าเธอจะเพิ่งกิน แต่เธอก็ไม่ได้กินมากนักเพราะเธออารมณ์ไม่ดี ยังรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อย
หนานกงเฉินออกจากโรงพยาบาล เจอร้านขายติ่มซำอยู่ใกล้ ๆจึงเดินเข้าไป มีติ่มซำหลายแบบ เขาซื้อมาทุกแบบ ก่อนที่จะออกไปสายตาของเขาก็ถูกไอศครีมในตู้ดึงดูด
เมื่อเห็นว่าเขาสนใจไอศกรีม พนักงานจึงยิ้มอย่างสุภาพแล้วพูดว่า "คุณคะ ไอศครีมที่นี่อร่อยมาก ลองซื้อไปชิมสักอันสิคะ"
หนานกงเฉินจำลูกไอศครีมที่ไป๋มู่ชิงโดนคนชนหล่นเมื่อเช้านี้ได้และถามพนักงานว่า "ใส่ถุงกลับบ้านได้ไหมครับ"
"ได้ค่ะ เรามีกล่องบรรจุพิเศษ แต่ไม่ควรนานเกินไป"
“ งั้นก็เอาให้นิดหนึ่งครับ”
“ได้ค่ะ คุณชอบรสไหนคะ”
หนานกงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จริงๆว่าไป๋มู่ชิงชอบรสไหน เขาขยับแว่นกันแดดของเขาอย่างเขินอายเล็กน้อยแล้วถามพนักงานว่า "ขอถามหน่อย ... ผู้หญิงชอบรสอะไรเหรอครับ"
"เอ่อ ... " พนักงานถามด้วยความอายเล็กน้อย "ผู้หญิงทุกคนชอบรสชาติที่แตกต่างกัน พูดยากน่ะค่ะ"
“ งั้นก็เอามาทุกรสอย่างละหนึ่งอันละกัน”
"อะไรนะคะ?"
"ทำไมเหรอครับ?"
"คุณคะ มัน ... ไม่มากไปหน่อยเหรอ" ที่นี่มีรสชาติยี่สิบสี่ชนิดและราคาก็แพงไปหน่อย
"ไม่เป็นไร คนของฉันเป็นคนชอบกิน"
"โอเคค่ะ" พนักงานพยักหน้าก้มหัวลงในขณะที่ขุดหาลูกไอศกรีมและแอบอิจฉาความสุขของนักกินคนนี้!
หลังจากใส่ไอศกรีมและของว่างเข้าด้วยกันแล้ว พนักงานก็ยื่นถุงใหญ่สองถุงให้กับ หนานกงเฉิน และเตือนด้วยรอยยิ้มว่า "เมื่อคุณกลับไปแล้วอย่าลืมนำไอศครีมที่กินไม่หมดแช่ในตู้เย็นนะคะ"
"โอเค ขอบคุณครับ" หนานกงเฉินรับถุงใบใหญ่และหันไปออกจากร้านขายขนม
หนานกงเฉินกลับมาที่วอร์ดห้องพัก วางกระเป๋าถุงใหญ่สองใบไว้บนโต๊ะข้างเตียง
ไป๋มู่ชิงมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยไอศกรีม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เชื่อ“ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ซื้อไอศครีมมากมายขนาดนี้มาทำอะไร?”
"ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบรสอะไร ดังนั้นฉันเลยซื้ออย่างละหนึ่งอย่าง" หนานกงเฉินไม่คิดว่าจะมีอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบขนมขึ้นมาและกินมัน เขารู้สึกหิวแล้วหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรดีๆเลยทั้งวัน
“ หนานกงเฉิน คุณเป็นคนมหัศจรรย์ในวันธรรมดางั้นเหรอ?” ไป่มู่ชิงยังคงดูเหลือเชื่อ
"ทำงานเก็บเงินแล้วไม่ใช้จะให้เก็บไปยัดใส่โลงศพหรือไงกันล่ะ" หนานกงเฉินไม่เห็นด้วย
“ แต่จะสิ้นเปลืองแบบนี้ก็ไม่ได้นะ”
“ตกลงว่าเธอจะกินหรือไม่กิน”
"ฉัน ... " ไป๋มู่ชิงมองไปที่ลูกไอศครีมที่น่าลิ้มลองนั่น แต่ ... เธอกินมันได้จริงหรือ? หากคุณผู้หญิงรู้ขึ้นมาว่าเธอกินของเย็น จะโดนดุด่าหรือเปล่านะ?
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นก็มองไปที่ลูกไอศกรีมบนโต๊ะ และในที่สุดก็เลือกไอศกรีมรสช็อคโกแลตแล้วกัดมันลงไป
รสชาติของร้านนี้บริสุทธิ์ เข้มข้นเช่นเคยและน่ากินมาก
เธอกินช็อคโกแลตรสหนึ่งและอยากกินสตรอเบอร์รี่อีกรสหนึ่ง แต่เจิตใต้สำนึกของเธอบอกเธอว่าห้ามกินอีก ถ้าขืนยังกินอีกต้องรู้สึกผิดกับลูกในท้องากแน่ๆ
หนานกงเฉินมองไปที่เธอราวกับว่าเธออยากกินแต่ไม่กล้ากิน และเลิกคิ้วด้วยความสับสน"ทำไมล่ะ ไม่กล้ากินงั้นเหรอ จะเตือนอะไรเธออย่างนะ ในใจฉันเธอน่ะไม่ได้มีอะไรหรอกนะ ไม่ต้องเสแสร้งที่นี่หรอก”
“ ใครเสแสร้งต่อหน้าคุณกันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงหยิบขนมขึ้นมาและกินมัน
“ แล้วทำไมเธอไม่กินล่ะ”
"เพราะ ... " ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดข้ออ้างขึ้นมาว่า "เพราะฉันต้องการเก็บไว้ให้เด็กๆกินน่ะสิ "
เดิมทีนี่เป็นข้ออ้างที่เธอคิดขึ้นมาด้วยความรีบร้อน แต่ข้ออ้างนี้ก็ดูดีทีเดียว สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และเธอก็กินไม่ได้อยู่ดี มันน่าเสียดายที่จะทิ้งของแพง ๆ แบบนี้ไป คงจะดีกว่าถ้าให้เด็ก ๆ กิน.
หนานกงเฉินพูดไม่ออก“ ไม่ต้องทำเหมือนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ไหม ตัวไม่เองกินแต่จะเหลือไว้ให้เด็กๆกินอย่างนั้นสิ?”
"แน่นอนสิ คุณจะต้องเรียนรู้จากฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ"
หนานกงเฉินยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม มองลงไปที่โทรศัพท์และกินขนมในมือ
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วพูดอย่างระมัดระวัง"คุณชายใหญ่ ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ?"
"ไม่ได้"
“ คุณย่าขอให้คุณอยู่รับใช้ฉัน”
“ ใช่ แต่ถ้าจะให้ฉันส่งไอศครีมให้พวก ... เด็กป่าพวกนั้นล่ะก็ โปรดยกโทษให้ฉันด้วยที่ทำไม่ได้”
"เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะขอให้คุณช่วยพยุงฉันลงจากเตียง ฉันจะไปส่งด้วยตัวเอง" ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เขาเล็กน้อย "เรื่องง่ายๆแค่นี้ หรือว่าคุณก็ช่วยฉันไม่ได้คะ?"
"เธอ ... " หนานกงเฉินโกรธและชี้ไปที่เธอ: "บังคับให้ฉันทำใช่ไหม?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...