เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 89

สรุปบท บทที่ 89 หึงไปเรื่อย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ตอน บทที่ 89 หึงไปเรื่อย จาก เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 89 หึงไปเรื่อย คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด ที่เขียนโดย เยว่กวางจู่อวี เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ทั้งสองคนมาถึงที่สวนน้ำ หนานกงเฉินก็จอดรถที่ลานจอดรถแล้วมองไปรอบๆ สายตาก็ตกไปที่คนที่สะกดรอยตามแล้วมุมปากเขาก็ขยับขึ้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

คุณย่าก็ยังคงเหมือนเดิม ชอบให้คนมาสะกดรอยตามเขา

"คุณยิ้มอะไร" ไป๋มู่ชิงถามอย่างไม่เข้าใจ

"ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ" หนานกงเฉินล็อคประตูรถแล้วเดินตรงเข้าไปที่ประตูสวนน้ำ

ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อมาก เธอรีบเดินตามไปแล้วคล้องแขนเขาไว้

เมื่อเดินผ่านร้านขนมหวาน หนานกงเฉินก็หยุดก้าวขาแล้วใช้คางชี้ไปทางร้านขนมหวาน "อยากกินไหม?"

ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วยิ้มตอบว่า "ถ้าคุณเป็นคนซื้อให้ฉัน ฉันก็กินได้"

"ฝืนใจขนาดนี้เลย?" เขาใช้นิ้วแตะไปที่คางของเธอแล้วยิ้ม "งั้นไม่ต้องกินดีกว่า"

พูดจบก็ปล่อยเธอแล้วเดินต่อไป

ไป๋มู่ชิงมองตามที่แผ่นหลังของเขาที่เดินจากไปแล้วมองบนอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าเขาจะไปต่อแถวซื้อให้เธอสะอีก เฮ้อ คิดไปเองอีกละ!

แต่กลับหนานกงเฉิน ก็คาดหวังมากไม่ได้เพราะเขาเป็นคนที่เชิดหยิ่งขนาดนี้คงแก้นิสัยได้ยาก

หลังจากที่คิดได้แล้ว ใบหน้าเธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วก้าวขาเดินตามเข้าไป

เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่กินจริงๆ สีหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้กลับไปซื้อให้เธอแต่กลับเดินไปกับเธอไปทางริมทะเล

ไป๋ยิ่งอันได้รับรูปภาพจากนักสืบ เธอโกรธจนลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนตรงเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่

ซูวยาหยงที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้าพอเธอโผล่เข้ามาในห้องก็ตกใจเล็กน้อย พอเห็นเธอเข้ามาก็เอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า "ทำอะไรบ้าบอเนี่ย ฉันตกใจหมด"

"คุณแม่ ดูนังหน้าไม่อายนี่สิ" ไป๋ยิ่งอันยื่นโทรศัพท์ไปที่หน้าซูวยาหยงแล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า "ก็ว่าล่ะมันเอาแต่ยืดยื้อ ไม่สลับเปลี่ยนตัวกับหนูสักที"

ซูวยาหยงมองกวาดไปที่รูป หนานกงเฉินจับมือชิดไหล่กับไป๋มู่ชิงดูสนิทสนมกันมากเลย ถึงแม้จะโมโหแต่ก็ไม่ได้เผยอารมณ์ออกมาอย่างไป๋ยิ่งอันกลับปลอบใจเธอว่า "ช่างมันเถอะ ตอนนี้มันจะเป็นยังไงกับหนานกงเฉิน พอถึงเวลาที่มันควรจะไป ก็ต้องไปอยู่ดี"

"หนูว่ามันต้องหลงรักหนานกงเฉินแล้วแน่ๆ ถึงเวลาอาจจะรักมากกว่าด้วยซ้ำแล้วอาจจะทำใจที่จะไปจากเขาไม่ได้แล้วก็ไม่สนใจน้องชายของตัวเองด้วย" เพราะไป๋ยิ่งอันกังวลเรื่องนี้เลยให้คนไปสะกดรอยตามไป๋มู่ชิง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะดีกันได้ขนาดนี้

"วางใจเถอะ ฉันรู้นิสัยของมันดี มันไม่มีทางทิ้งคนในครอบครัวไว้หรอก" ซูวยาหยงส่องกระจกไปมา พอใจสักที

"คุณแม่……"

"พอแล้ว" ซูวยาหยงพูดแทรกขึ้นแล้วหันหลังไปจ้องมองเธอไว้ "เรื่องพวกนี้แกไม่ต้องคิดมากหรอก แกแค่ไปฝึกตัวเองให้ดี เลียนแบบเสียง ท่าทาง ความชอบต่างๆ แกต้องฝึกไปทีละนิด ไม่งั้นพอได้เข้าไปในบ้านตระกูลหนานแล้ว ถ้าเขาจับได้คนทั้งบ้านจะซวยตามแกไปด้วย"

พอนึกถึงเรื่องนี้ ไป๋ยิ่งอันก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เพื่ออนาคตถึงจะยากลำบากแค่ไหนเธอก็ต้องทน

"ไว้ใจเถอะค่ะ หนูจะตั้งใจฝึกเอง"

"อย่าลืมล่ะว่าหนานกงเฉินเป็นคนฉลาดมาก" ซูวยาหยงย้ำเตือนขึ้น

"คุณแม่คะ ถ้าคุณแม่ให้หนูเลียนแบบคุณหญิงหรือว่าคุณหนูคนไหนมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ให้เรียนแบบยัยเฉิ่มอย่างงั้นมันยากจริงๆ" ถึงรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก แต่เธอก็อดที่จะพูดระบายไม่ได้ "คุณแม่ว่าเธอเป็นลูกสาวของตระกูลไป๋เราจริงหรือเปล่า? ทำไมไม่มีภาพลักษณ์คุณหนูเลยสักนิด?"

"ถ้าไม่ใช่ ตอนนั้นนังผู้หญิงนั่นก็คงไม่พาเธอมาหรอก" ซูวยาหยงพูดอย่างเยือกเย็นแล้วยกมือขึ้นตบบ่าลูกสาวเบาๆ "พอแล้ว ไม่ต้องบ่นอะไรแล้ว ใครให้ลูกไม่แต่งไปตั้งแต่แรกล่ะ?"

"หนู……" ไป๋ยิ่งอันไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วพูดอย่าหงุดหงิดขึ้นอีกว่า "ช่างเถอะ จะพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว หนูออกไปเที่ยวเล่นดีกว่า"

"แกจะออกไป?" ซูวยาหยงขมวดคิ้ว

ไป๋ยิ่งอันรู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่แล้วรีบอธิบายว่า "คุณแม่วางใจเถอะค่ะ หนูจะปลอมตัวดีๆ จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับคนในตระกูลหนานกง"

ไป๋ยิ่งอันพูดจบก็หันหลังเดินตรงออกไปที่ห้องของตัวเอง

เพื่อที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นไป๋มู่ชิง ไป๋ยิ่งอันที่ไว้ผมสั้นมาเกือบยี่สิบปีก็ต้องแอบไว้ผมให้ยาวขึ้นกว่าเดิมแถมยังไป แถมยังไปจี้ขี้แมลงวันตรงหางตาออกอีก แล้วยังต้องบังคับให้ตัวเองเลียนแบบท่าทางความเคยชินของไป๋มู่ชิงอีก

ในระยะเวลานี้ เธอเรียนไปเยอะมากจนหงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว

การออกนอกบ้านครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเที่ยวเล่นในสวนน้ำจากนั้นก็ไปทานดินเนอร์ด้วยกัน พอทานอาหารเสร็จก็ขอไปเดินช้อปปิ้งด้วย

พอตกดึกประมาณสามทุ่มกว่า ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเหนื่อยจนเดินไม่ไหว แล้วแอบมองไปที่หนานกงเฉินก็สังเกตุเห็นเขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดอยู่

ถึงจะไม่อยากพลาดโอกาสดีๆที่ได้อยู่กับเขาสองต่อสอง แต่ก็จะทำให้คุณชายลำบากไม่ได้ เธอก็เลยเอ่ยไปว่าไปเถอะเรากลับกันเถอะ"

เขาที่เอาแต่ใจแต่ไม่ได้เป็นคนเอ่ยกลับก่อนนั้นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก

"แน่ใจหรอ" หนานกงเฉินก้มหน้าลงมามองเธอ

"แน่ใจสิ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้

หนานกงเฉินไม่ชอบการเดินช้อปปิ้งนี้สักเท่าไหร่ พอได้ยินเธอเอ่ยขึ้นอย่างนั้นก็รีบหันหลังเดินออกไปที่ลานจอดรถ

หนานกงเฉินไปเอารถจากที่ร้านจอดรถแล้วไป๋มู่ชิงก็ยืนรอหน้าประตู

ข้างๆร้านอาหารเป็นร้านขายของเกี่ยวกับแม่ลูกแล้วกำลังทำโปรโมชั่นลดราคาพอดี ไป๋มู่ชิงเลยอดไม่ได้ที่จะเดินก้าวไปดูของเล่นน่ารักๆของเด็ก

ถ้าไม่ใช่เพราะออกมาพร้อมกับหนานกงเฉิน เธอคงเข้าไปดูให้สมใจ แต่นี่เธอก็ทำได้แค่ยืนมองอยู่ข้างนอกไกลๆ

หนานกงเฉินขับรถแล่นออกมาก็เห็นเธอมองไปที่ร้านอย่างหลงไหล เขาทอดมองไปที่เธอสักพักแล้วกดแตรเรียก แต่ไป๋มู่ชิงกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร

ที่นี่เป็นตลาดที่ครึกครื้นเอาแต่กดแตรก็ไม่ดี หนานกงเฉินก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเธอ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังไป๋มู่ชิงถึงดึงสติกลับมาได้แล้วได้ยินว่าเป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะของหนานกงเฉินก็เลยรู้ว่าเป็นเกิดอะไรขึ้น

เธอหันกลับไปก็เห็นว่ารถของหนานกงเฉินจอดอยู่ที่ลานจอดชั่วคราว

บ้าจริง มาเหม่ออะไรตอนนี้เนี่ย

เธอรีบเดินตรงไปที่รถของหนานกงเฉิน พอเปิดประตูนั่งเข้าไปก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า "ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันมองไม่เห็นคุณ"

หนานกงเฉินกวาดมองไปที่ร้านแม่ลูกนั้นแล้วมองไปที่เธอ "เธอสนใจร้านแบบนั้นหรอ?"

ไป๋มู่ชิงใจเต้นแรงไป ไม่คิดว่าเขาจะสังเกตุเห็น

"แน่นอน ฉันชอบเด็กอยู่แล้ว" เธอยิ้มแล้วทอดมองไปในตาของเขาแล้วพูดว่า "งั้นเราก็……"

คำพูดของเธอยังอยู่ในคอ แต่สีหน้าของหนานกงเฉินก็เข้มขึ้นเลยรีบเปลี่ยนประเด็นว่า "ช่างเถอะ รู้ว่าคุณไม่ตกลงหรอก"

"ในเมื่อรู้ว่าไม่ตกลงก็ไม่ต้องพูดขึ้นอีก" หนานกงเฉินพูด

"รู้แล้ว" ไป๋มู่ชิงตอบรับแล้วหันหน้ากลับไป

เขาก็ยังคงดื้อด้านอย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อให้เลย ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ

หนานกงเฉินรู้สึกถึงความหม่นหมองของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแค่แล่นรถออกไปทางกลับบ้าน

อารมณ์ที่ดีๆแต่กลับถูกทำลายเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองกับลูกแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงก็กลับห้องไปอาบน้ำ อยู่ๆก็รู้สึกหิวเธอกำลังจะไปถามหนานกงเฉินว่าจะกินอะไรมื้อดึกไหม แต่ก็ได้ยินเสียงรถดังขึ้นทางประตู

เธอรีบเดินก้าวไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปก็เห็นรถของหนานกงเฉินหายออกจากหน้าประตูไป

เมื่อกี้เขาบอกว่าเหนื่อยไม่ใช่หรอ? แต่ทำไมถึงออกไปตอนนี้?

แต่หนานกงเฉินจะไปที่ไหนไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวเธออยู่แล้ว เธอก็คุมเขาไม่ได้ด้วยไม่ว่าเขาจะออกไปทำอะไรก็ตาม

ไป๋มู่ชิงเดินออกจากระเบียงแล้วมาหาของกินที่ห้องครัวชั้นหนึ่งแล้วก็ได้พบกับพี่เหอที่ออกจากห้องของคุณหญิงมาพอดี พอเห็นไป๋มู่ชิงกำลังหาของกินก็เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า "คุณหญิงน้อยหิวหรอคะ? เดี๋ยวดิฉันทำอาหารมื้อดึกให้ค่ะ"

ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตกใจไปแล้วหันกลับไปส่ายหน้า "ไม่ต้องก็ได้ ฉันแค่มาหาคุกกี้กินก็พอแล้ว"

หลังจากที่เธอท้อง ท่าทางของพี่เหอที่มีต่อเธอก็ดีขึ้นมาเหมือนกับท่าทางของคุณหญิง แต่ว่าทำงานในบ้านตระกูลหนานกงมากี่สิบปีแล้ว เธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่

"คุกกี้ไม่มีสารอาหารอะไร เดี๋ยวดิฉันทำบะหมี่ไข่ให้กินนะคะ" พี่เหอพูดไปพร้อมนำวัตถุดิบออกมาจากตู้เย็นเพื่อที่จะทำบะหมี่

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นอย่างนั้นก็เลยพูดขอบคุณแกไป

บะหมี่ไข่ทำเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ไป๋มู่ชิงยืนมองข้างๆ อยู่ๆเธอก็เลยถามขึ้นว่า "พี่เหอคะ ดึกขนาดนี้แล้วคุณชายไปไหนหรอคะ?"

"บอกว่ามีเพื่อนกลับมาจากต่างประเทศน่ะค่ะ"

"เพื่อน?"

พี่เหอเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยน้ำเสียงทางการ "คุณชายดูแลบริษัทหนานกงที่ใหญ่ขนาดนี้ ออกไปบ้างก็ปกติไม่ใช่หรอคะ?"

"เอ่อ คุณคือ……เพื่อนของเขา?" ความหึงในใจของไป๋มู่ชิงเอ่อล้นออกมา

"ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งกลับจากต่างประเทศ" ฟางมี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย "คุณไม่ใช่คนรักของคุณชายเฉินใช่ไหม? ฉันจะบอกความลับกับคุณนะคะ ท่าทางของคุณชายดูเก่งขึ้นมากเลย สะใจฉันมาก……"

"นังหน้าไม่อาย!" ไป๋มู่ชิงทนฟังไม่ได้แล้วพูดแทรกขึ้นแล้วตัดสายโทรศัพท์

ฟางมี่ยังอยากพูดอีกตั้งหลายคำ แต่เมื่อโทรศัพท์ถูกตัดสายไปเธอก็เลยต้องวางสาย

เฉียวซือเหิงที่ดูอยู่ข้างๆยิ้มขึ้น "นี่เธอจะทำให้พวกเขาทะเลาะกันหรอ?"

"ทำลายความรู้สึกของคนอื่นฉันถนัดที่สุด" ฟางมี่ยิ้มอย่างได้ใจด้วยใบหน้าไม่อย่าแส "แต่ว่าฉันคิดว่าเธอคงเฉิ่มเหมือนภริยาคุณเลย"

เธอเพิ่งพูดจบ ใบหน้าอันหล่อเหล่าของเฉียวซือเหิงก็เข้มขึ้นมาเพิ่งรู้ว่าเธอสะกิดจึดเดือดของเขา เลยรีบหุบปากไป

ขณะเดียวกันหนานกงเฉินก็ออกมาจากห้องน้ำแล้วมองไปที่โทรศัพท์ตัวเอง "ใครโทรมา?"

"ภรรยามาโทรมาเช็คไง" เฉียวซือเหิงพูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ย "ไม่คิดเลยว่าคนอย่างคุณชายเฉินก็จะมีวันที่โดนเช็คแบบนี้เหมือนกัน ช่างน่าสงสารเลือกเกิน"

หนานกงเฉินไม่รู้สึกอะไร แค่มองพลางไปที่เฉียวซือเหิงไปแล้วยิ้ม "ผู้ชายที่ไม่มีภรรยาคอยเช็คนิสิน่าสงสารมากกว่ามั้ง?"

"ถ้าพูดอย่างนี้……ก็หมายความว่าคุณชายเฉินเป็นผู้ชายที่มีความสุขสินะ" ฟางมี่ยิ้มอ่อนลุกขึ้นแล้วยกแก้วเหล้าขึ้น "ฉันยังไม่ได้ชนแก้วกับคุณชายเฉินเลย ยังไงก็ต้องรอให้ดื่มกับฉันก่อนแล้วค่อยไป……อ๊าย……!"

อยู่ดีดีขาเธอก็พลิก ร่างกายก็เอนเข้าไปทางหนานกงเฉิน ลิปสีแดงที่ริมฝีปากก็จูบลงที่เสื้อเชิ้ตสีขาวเขา

"ขอโทษนะคะ ส้นสูงสูงเกินไป" เธอเอนซบอยู่ที่หน้าอกของหนานกงเฉินอย่างเขินอาย แล้วสะใจกับผลงานที่ตัวเองทำ

ฟางมี่เป็นผู้หญิงยังไงหนานกงเฉินรู้ดี แล้วก็รู้ว่าเธอตั้งใจด้วย แต่แค่ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ก็เลยไม่ได้ใส่ใจการกระทำเธอมาก แค่ผลักเธอลงด้วยสีหน้าขยะแขยง "ผมไม่ดื่มเหล้าแล้ว ผมต้องขับรถกลับ"

พูดจบ ก็หันไปทางเฉียวซือเหิงที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก แล้วทำท่าทางว่าเดี๋ยวค่อยโทรคุย จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ทีแรกแค่จะโทรเพราะเป็นห่วงหนานกงเฉิน รู้ว่าเขาไม่เป็นไรตัวเองก็จะได้นอนหลับสักที แต่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงมารับสายแถมยังพูดคำพูดที่ไม่อายปากอย่างนั้น

จนทำให้ไป๋มู่ชิงนอนไม่หลับลืมตาจนถึงเช้าเพราะแค่หลับตาลงก็จะนึกถึงภาพที่หนานกงเฉินนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิง

เธอส่ายหัวไปมาแล้วกำลังจะเอาหูฟังขึ้นมาอุดหูเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่คิดแต่เรื่องนี้ แล้วนอกหน้าต่างก็มีเสียงดังรถขึ้น

เธอลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วเดินเท้าเปล่าไปที่หน้าต่างข้างระเบียงแล้วเปิดผ้าม่านมองออกไป เป็นรถของหนานกงเฉิน เวลานี้นอกจากเขาจะขับรถกลับมาก็คงไม่มีใครอีก

หนานกงเฉินจอดรถที่หน้าประตูบ้านใหญ่ พอลงจากรถก็รีบก้าวเดินขึ้นมา

เขาไม่ได้กลับห้องตัวเองแต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องของไป๋มู่ชิง เขาเปิดประตูออกช้าๆให้เห็นช่องเล็กๆ เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ได้นอนเลยผลักประตูเข้าไป

"ทำไมดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอน?" หนานกงเฉินยืนอยู่ตรงกลางห้องนอนแล้วยิ้มให้ไป๋มู่ชิง "ไม่ใช่ว่ากำลังรอผม?"

ไป๋มู่ชิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสายตาก็หยุดลงที่รอยริมฝีปากสีแดงที่คอเสื้อเขา เธอเบี่ยงหน้าหนี "เปล่า ฉันแค่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ"

"จริงหรอ?" หนานกงเฉินเดินก้าวเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเธอแล้วมองไปที่เธอ "ทำไมผมดูหน้าคุณไม่รู้สึกง่วงเลยล่ะ ไม่ได้นอนเลยหรอ?"

เขามองออก ไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากแกล้งต่อพร้อมจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก "ฉันคิดว่าคุณจะกลับมาพรุ่งนี้สะอีก"

"ใช่หรอ? ก็กำลังหึงนี่" หนานกงเฉินใช้นิ้วมือยกคางของเธอขึ้น "ผมคิดว่าการที่มีคนหึงตัวเองเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก"

พูดจบเขาก็ก้มลงไปจุมพิตเธอ แต่ไป๋มู่ชิงกลับเบี่ยงหน้าหนีการจูบของเขา "ผู้หญิงที่หึงคุณคงมีเยอะจนเท่ารถสิบล้อแล้วมั้ง?"

หนานกงเฉินจูบกับอากาศแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วตามไปจุมพิตที่ริมฝีปากเธออีก แต่ไป๋มู่ชิงกลับผลักตัวเขาออกแล้วก้าวถอยหลังไป "ฉันไม่ชอบลิ้มลองรสลิปสติกของผู้หญิงคนอื่นหรอก คุณควรจะทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วค่อยมาแต่ฉัน"

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีแล้วขมวดคิ้วเข้ม "หมายความว่ายังไง?"

"คุณว่ายังไงล่ะ?" ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตัวเองคุมไม่ได้ ถึงเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นข้างนอกก็ไม่กล้าถาม แต่เธอไม่ชอบเลยท่าทางของเขาที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ชอบการถูกโกหกด้วย

ถึงเขาจะพูดเสียดสีเธอเหมือนวันปกติบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องของเขา อย่างน้อยเธอก็แค่เสียใจก็จะไม่ดูถูกเขาเหมือนตอนนี้

"ไป๋ยิ่งอันคุณพูดให้เข้าใจหน่อย?"

"ขอโทษ ฉันไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ คุณชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนเถอะค่ะ ฉันก็จะนอนแล้ว" ไป๋มู่ชิงพูดประโยคนี้กับเขาด้วยอารมณ์ปกติจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางบนเตียง

แต่เธอเพิ่งก้าวขาหันไป หนานกงเฉินก็ดึงแขนเธอกลับมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด