บทที่ 73 ใครกล้าก็เข้ามา
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”
“คุณหมอเป็นคนดีที่สุดแล้ว”
“พวกเราอยากมาที่นี่เพื่อขอบคุณคุณหมอเป็นการส่วนตัว”
เมื่อการเปิดคลินิกภาคสนามเริ่มขึ้น ชาวบ้านทุกคนก็เดินเข้ามาพูดความในใจกับซูเย่ระหว่างที่ยื่นแขนออกมาให้ชายหนุ่มตรวจชีพจร
หลี่เคอหมิงยิ่งรับรู้ได้ถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาอาศัยจังหวะพักดื่มน้ำ ลุกขึ้นไปถามผู้ใหญ่บ้านด้วยความสงสัยว่า
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าผู้ใหญ่ ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่าชาวบ้านทุกคนไม่ได้เศร้าโศกเสียใจเหมือนเดิมแล้ว”
“นี่คุณหมอใหญ่ไม่รู้เหรอครับเนี่ย?”
ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตามองหลี่เคอหมิงด้วยความประหลาดใจ “คุณหมอซูเย่ไม่ได้บอกเหรอครับว่าเขาทำอะไรลงไป?”
“เขาทำอะไรล่ะ?”
หลี่เคอหมิงถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“คุณหมอซูเย่จ่ายเงินเช่าที่ดินชาวบ้านกว่า 500 ไร่ ด้วยราคาค่าเช่าที่แพงมากกว่าการเช่าที่ดินทั่วไปถึงสามเท่าเลยครับ!”
“อย่างที่คุณหมอใหญ่ก็คงเห็นว่าทุ่งข้าวโพดของพวกเราโดนไฟไหม้ไปทั้งหมด มันกลายเป็นที่ดินไร้ประโยชน์ เราคงไม่มีปัญญาเพราะปลูกอะไรได้อย่างน้อยก็อีกครึ่งปี แต่ต้องขอบคุณลูกศิษย์ของคุณหมอใหญ่มากเลยครับ เพราะแบบนี้พวกเราชาวบ้านตาดำ ๆ จึงมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากบ้างแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนนะ? ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะบอกว่าซูเย่เป็นคนเช่าที่ดินพวกนี้งั้นหรือ?”
หลี่เคอหมิงตกตะลึง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน
“ใช่แล้วครับ คุณหมอซูเย่เช่าที่ดินพวกเราไปทั้งหมด 571 ไร่ เมื่อคืนก่อน เขาเอาเงินสดมาให้พวกเราหนึ่งล้านหยวน โดยที่ทางผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยครับ”
หลี่เคอหมิงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนก่อน เขาแอบเห็นกระเป๋าเป้ของซูเย่ตุงผิดปกติอยู่เช่นกัน
แล้วชายหนุ่มก็ขอลงจากรถแท็กซี่กลางทางด้วย
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดชาวบ้านถึงเดินมาขอบคุณซูเย่
ที่แท้ก็มีเหตุผลรองรับอยู่มากมายนี่เอง
แต่ซูเย่จะเช่าที่ดินพวกนี้ไปทำไมกันนะ?
เงินหนึ่งล้านหยวนไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ๆ
หรือว่าซูเย่จะเป็นพวกลูกเศรษฐี?
มีฐานะทางบ้านร่ำรวย?
การจ่ายเงินเช่าที่ดินของเขาในครั้งนี้ จึงไม่ต่างไปจากการจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้าหรืออาหารในชีวิตประจำวัน
หลี่เคอหมิงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็รู้สึกดีใจ
เขามั่นใจแล้วว่าซูเย่เป็นคนดี
มีแต่เป็นคนดีเท่านั้น ถึงจะทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหลี่เคอหมิง
เขาดูคนไม่ผิดจริง ๆ
อีกไม่นาน ซูเย่จะต้องเป็นดาวเด่นในวงการแพทย์แผนจีนแน่นอน!
เมื่อพักดื่มน้ำดื่มท่ากันเรียบร้อย การตรวจรักษาคนไข้ก็ดำเนินต่อไป
คุณหมอทั้งสองท่านกลับมานั่งประจำที่
“คุณหมออยู่ไหนวะ เห็นว่าที่นี่มีตรวจรักษาฟรีไม่ใช่เหรอ?”
ห่างออกไปไม่ไกล มีเสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นมา
ชาวบ้านทุกคนหันไปมองทิศทางต้นเสียง
ชายฉกรรจ์อายุประมาณ 30 – 40 ปีคนหนึ่งเดินกร่างเข้ามาด้วยท่าทางชวนทะเลาะ
“นี่มันนายหม่าจากหมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ใช่หรือไง?”
“เขามาทำอะไรที่นี่?”
“ไอ้หมอนี่ปรากฏตัวขึ้นที่ไหน มีแต่ความบรรลัยทุกที”
เสียงกระซิบกระซาบดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน
ชายฉกรรจ์แซ่หม่ามองสีหน้าตื่นตระหนกของทุกคนด้วยความเหยียดหยาม
เขาไม่สนใจชาวบ้านที่ยืนอยู่โดยรอบ ย่างสามขุมเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตรวจคนไข้
ดวงตาของชายฉกรรจ์แซ่หม่าเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เหมือนหนูตัวร้ายกำลังหาทางขโมยปลาย่างไปจากแมว
เขาใช้สายตาสำรวจมองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อขยับเข้ามาใกล้ กระเป๋าเป้ที่ซูเย่พกติดตัวมาด้วยในวันนี้ ก็เตะสายตาของคนแปลกหน้าเข้าอย่างจัง
ชายฉกรรจ์แซ่หม่าได้ยินว่าคุณหมอที่มาเปิดคลินิกสนามรักษาคนไข้ฟรี ๆ ในหมู่บ้านนี้ จ่ายค่าเช่าที่ดินถึงไร่ละ 1,500 หยวน แต่ที่สำคัญก็คือ ที่ดินเหล่านั้นเป็นที่ดินซึ่งถูกไฟไหม้ไปเมื่อวันก่อน ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์อะไรได้อีกแล้ว
เงินทั้งหมดนั่นอยู่ในกระเป๋าเป้ใบนี้ใช่หรือไม่?
“คุณหมอตรวจผมหน่อยสิ”
ชายฉกรรจ์แซ่หม่าผลักชาวบ้านที่อยู่ทั้งสองฝั่งออกไปให้หมด ก่อนจ้องมองคุณหมอหนุ่มด้วยแววตาท้าทาย
“ไปต่อแถวครับ”
ซูเย่พูด
“ผมป่วยจะตายอยู่แล้วเนี่ย ยังจะให้ไปต่อแถวอะไรอีก”
ผู้เป็นคนไข้รายใหม่ขึ้นเสียงด้วยความไม่สบอารมณ์
“ไปต่อแถวครับ”
ซูเย่พูดย้ำคำเดิม
“ถ้าไม่ไปแล้วหมอจะทำไม?” พูดจบ ชายฉกรรจ์ก็ยื่นแขนออกมาข้างหน้าให้ซูเย่ทำการตรวจ
เมื่อซูเย่สัมผัสมือลงไปบนแขนของชายฉกรรจ์ สิ่งที่น่าตกใจก็เกิดขึ้น
“อ๊าก…”
ชายฉกรรจ์แซ่หม่าล้มลงไปนอนน้ำลายฟูมปาก ชักกระแด่ว ๆ คาโต๊ะตรวจคนไข้
ซูเย่พูดอะไรไม่ออก
ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบได้แต่อุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ
หลี่เคอหมิงรีบลุกขึ้นจะเข้ามาดูอาการของชายฉกรรจ์ แต่ซูเย่ก็ยกมือห้ามเอาไว้ และส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
ชายฉกรรจ์คนนี้แค่อยากมาหาเรื่องพวกเขาเท่านั้นเอง!
“ลุกขึ้นมาได้แล้วครับ สรุปว่าคุณต้องการอะไรกันแน่?”
ซูเย่พูดกับชายฉกรรจ์แซ่หม่าที่นอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะตรวจคนไข้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โดนรู้ทันซะแล้วสิ”
ชายฉกรรจ์แซ่หม่าที่นอนน้ำลายฟูมปากอยู่เมื่อสักครู่ พลันลุกขึ้นยืนใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำลายตัวเอง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แก่ซูเย่ “ผมได้ยินว่าหมอจ่ายค่าเช่าที่ไร่ละ 1,500 หยวน ที่ดินของชาวบ้านพวกนี้โดนไฟไหม้หมดแล้ว เช่าไปหมอก็ทำประโยชน์ไม่ได้ แต่บ้านผมอยู่หมู่บ้านข้าง ๆ นี่แหละ หมอสนใจจะเช่าที่ของผมบ้างไหมล่ะ รับรองว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีกเยอะ”
“ใช้ประโยชน์ได้กับผีน่ะสิ!”
ผู้ใหญ่บ้านพูดออกมาโดยเร็ว “ที่ดินของนายมันแห้งแล้งจะตาย เอาไปปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นหรอก”
“ผู้ใหญ่แก่แล้วอย่าพูดมากสิ”
ชายฉกรรจ์หันกลับมามองหน้าผู้ใหญ่บ้านตาขวาง หลังจากนั้นจึงหันกลับไปมองหน้าซูเย่อีกครั้ง
“ผมจะบอกอะไรให้นะ…”
“ไม่สนใจ”
ซูเย่ตอบรับกลับไปทันที “กรุณาอย่าทำให้ผมเสียเวลา”
“งั้นสิ่งที่เรากำลังจะคุยกันต่อในวันนี้ก็คือ…”
ชายฉกรรจ์แซ่หม่าพูดยังไม่ทันจบ
“หม่าเหลาเอ้อ!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นดังขึ้น
คนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา
ร่างของหม่าเหลาเอ้อกลิ้งกระเด็นไปบนพื้นดินเหมือนถูกพุ่งชนด้วยวัวกระทิงก็ไม่ปาน
“ไอ้คนเร่ร่อน มึงอยากตายหรือไงวะ?” หม่าเหลาเอ้อยันตัวลุกขึ้นมาด้วยความเดือดดาล เบิกตาโตจ้องหน้าชายเร่ร่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันทำอะไรรุนแรง!” ชายเร่ร่อนระเบิดเสียงคำราม ยืนจังก้าเหมือนยักษ์ใหญ่
หม่าเหลาเอ้อกำมือเป็นหมัดด้วยความโกรธ แววตาเป็นประกายดุดัน ชำเลืองมองชาวบ้านรอบกายพร้อมกับพูดว่า “ถ้ากูยังอยู่ พวกมึงอย่าหวังจะได้ตรวจโรคกับไอ้หมอนี่อีกเลย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]