ในรัชศกหย่งเล่อที่เจ็ด ฝูซิ่นฮวาก็ตั้งครรภ์ลูกคนที่สี่จนได้
หลังจากมีลูกชายมาแล้วสามคน คราวนี้จินเกาหยางถึงกับไปศาลเจ้าแม่กวนอิมเพื่อไหว้ขอพรให้ลูกคนที่สี่เป็นผู้หญิง ฝูซิ่นฮวาได้แต่นึกขำอยู่ในใจ บ้านที่อยากได้ลูกชายกลับมีแต่ลูกสาว ในขณะที่คนอยากได้ลูกสาวอย่างจินเกาหยางกลับมีแต่ลูกชายถึงสามคนแล้ว
แต่สุดท้ายการขอพรครั้งนี้ของจินเกาหยางก็ประสบผลสำเร็จ ในที่สุดฝูซิ่นฮวาก็คลอดลูกหญิงคนแรกออกมาให้เขา ซึ่งลูกคนนี้จินเกาหยางตั้งใจจะให้เป็นลูกคนสุดท้าย ด้วยสงสารฝูซิ่นฮวาที่ต้องเจ็บปวดทรมานยามคลอดบุตร
ปากพูดว่าสงสาร แต่กลับมีลูกถึงสี่คน ช่างน่าตีนัก
จินเกาหยางตั้งชื่อลูกน้อยว่า ‘องค์หญิงอันเล่อ’ มีนามรองว่า ‘เจียวเหมย’ หลังคลอดออกมาได้เพียงไม่นาน อันเล่อตัวน้อยก็เริ่มกลายเป็นอันเล่อตัวกลม เด็กหญิงดูเหมือนซาลาเปาน้อยที่ถูกห่ออยู่ในผ้าปักลายบุปผา แก้มสองข้างพองกลมราวเป่าลมไว้ ไม่ว่าใครที่เห็นล้วนแต่หลงใหลเอ็นดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสด็จลุงและเสด็จย่าที่ดูเหมือนจะหลงรักหลานคนเล็กมากกว่าผู้ใด
เมื่ออันเล่ออายุครบขวบปี จินเกาหยางก็จัดพิธีเลี้ยงฉลองให้นางอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางทั้งหลายนำของมงคลมากมายมาวางให้องค์หญิงน้อยเลือก ทว่านางกลับไม่สนใจของมงคล ไม่สนใจของเล่น และไม่สนใจของกิน แต่กลับคลานไปเบื้องหน้าเพื่อไปหากลุ่มองค์ชายที่รอลุ้นว่านางจะเลือกอะไร
“นางเลือกข้า” จินหย่งไท่ในวัยเก้าปีเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา ขณะอุ้มร่างของน้องน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
ทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮา ไทเฮา จินหยางหลง สือลี่อิน รวมไปถึงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างพากันหัวเราะด้วยความเอ็นดู อันเล่อน้อยชอบพี่ใหญ่ของนางที่สุด เด็กหญิงซบหน้าอยู่บนบ่าของผู้เป็นพี่ แล้วสายตาก็มองเห็นเด็กชายอีกคนที่ไม่ใช่บรรดาพี่ชายและญาติของตน เด็กน้อยที่ไม่ตื่นกลัวคนแปลกหน้ามองเขาคล้ายสงสัย และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ องค์หญิงน้อยจึงเอื้อมมือสองข้างไปหาเขาพร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้
“เจ้าอยากไปหาเถี่ยอิงหรือ?” จินหย่งไท่ถาม
‘เถี่ยอิง’ หรือนามเต็มคือ ‘เว่ยเซี่ยวเทียน’ คุณชายใหญ่แห่งจวนแม่ทัพเว่ยเสียน แม่ทัพใหญ่แห่งทัพเถี่ยอิง กองทัพทิศบูรพาของแผ่นดินต้าจิน
เว่ยเซี่ยวเทียนเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับจินหย่งไท่ นับได้ว่าสนิทสนมจนเขาสามารถเรียกชื่อขององค์ชายใหญ่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ฮ่องเต้เองก็เมตตาเอ็นดูเขาอยู่หลายส่วน จนเว่ยเซี่ยวเทียนสามารถเดินเข้านอกออกในวังหลวงได้ราวกับเป็นบ้านของตนเอง
“ดูเหมือนน้องเล็กจะชอบพี่เว่ย” องค์ชายสามจินหย่งจวินพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เจ้าก็ลองอุ้มนางดูหน่อยสิ” จินหย่งไท่ส่งน้องสาวให้เว่ยเซี่ยวเทียน
เด็กชายรับร่างกลมป้อมเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดพลันบังเกิดขึ้นในใจ ยิ่งยามที่สองแขนเล็ก ๆ นั้นยกขึ้นโอบรอบคอของตนแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ เว่ยเซี่ยวเทียนก็กระชับอ้อมกอดร่างน้อยที่น่าเอ็นดูแน่นขึ้น
“เว่ยเสียน ดูเหมือนลูกข้าจะชอบลูกเจ้านะ” จินเกาหยางพูดอย่างอารมณ์ดี
“นับเป็นวาสนาของเถี่ยอิงพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเสียนตอบขณะมองบุตรของตนอุ้มองค์หญิงน้อย
“เอาอย่างนี้ดีไหม ยามเมื่อลูกข้าโตถึงวัยปักปิ่น ข้าจะให้นางแต่งกับลูกเจ้า” จินเกาหยางถาม
เว่ยเสียนชะงักไปเล็กน้อยคล้ายตกใจกับด้ายแดงเส้นใหญ่ที่หล่นลงมาคล้องบุตรชายของตน ทว่าไม่นานแม่ทัพใหญ่ก็ยิ้มรับ
“หากฝ่าบาทมีพระประสงค์เช่นนั้น ก็นับเป็นวาสนาของบุตรชายกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี” จินเกาหยางพูดอย่างพอใจ “เช่นนั้นก็ถือเสียว่าอันเล่อของข้าได้หมั้นหมายกับเว่ยเซี่ยวเทียน บุตรชายของเจ้าแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเสียนรับคำ
ระหว่างที่ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องหมั้นหมาย เด็ก ๆ ทั้งหลายยังไม่มีใครรู้เรื่องรู้ราวอันใดไม่ พวกเขาอาจจะยังไม่ถึงวัยที่จะใส่ใจหรือเข้าใจเรื่องการหมั้นหมายครั้งนี้ องค์ชายทั้งสาม เว่ยเซี่ยวเทียน และบุตรชายฝาแฝดของฝูซิ่นเล่อยังคงเล่นอยู่กับองค์หญิงอันเล่อ ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาของขุนนางผู้อื่นที่หมายมั่นจะเชื่อมวาสนาให้บุตรของตนกับองค์หญิงน้อย
“เถี่ยอิง” เว่ยเสียนเรียก “มานี่สิ”
“ขอรับท่านพ่อ” เด็กชายเดินไปหาบิดาพร้อมร่างเล็กในอ้อมแขน
“วันนี้เจ้านำป้ายหยกประจำตระกูลติดตัวมาด้วยหรือไม่”
“นำมาขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ