Sign in Buddha’s palm 142 กองทัพขนาดใหญ่ผนึกกําลัง
ตําหนักไท้จี๋
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะนําทัพนับล้านบุกเข้าเมืองฉางอัน ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ขุนนางทั้งหลายไม่คาดคิดว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะกล้าก่อกบฏเช่นนี้?
“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงตกใจ ใบหน้าของเขาดูงุนงง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาสืบทราบจนเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ
แม้ว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะดูเหมือนยึดโยงซึ่งกันและกัน ที่หน้าฉาก แต่แท้จริงแล้วต่างขัดแย้งกันเอง ไม่มีใครเชื่อใจกันทั้งนั้น
หากจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังข่มเหงราชา หัวเมืองทั้งสิบอย่างเปิดเผย ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบอาจจะรวมกําลังเพื่อสะสางเรื่องราว แต่จักรพรรดิหลเชิงเองก็ไม่ได้กด ดันเหล่าราชาหัวเมืองมากจนเกินไป
เขาเพิ่งจะถอนรากถอนโคนสายลับที่ราชาหัวเมืองวางเอาไว้ในฉางอัน แม้ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลอย่างมากต่อเหล่าราชาหัวเมือง แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นการทําร้ายอะไรกันมากนัก
ท้ายที่สุดรากฐานจริงๆ ของเหล่าองค์ชายก็อยู่ในพื้นที่ของตนเอง ตราบใดที่จักรพรรดิหลี่เชิงไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอํานาจนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
แม้ว่าเหล่าองค์ชายจะทะเยอทะยาน แต่พวกเขาไม่กล้าก่อกบฏอย่างเปิดเผย เพราะนี่เท่ากับการพลิกผืนแผ่นดินอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว
เมื่อสําเร็จก็คงจะดี
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากล้มเหลว?
องค์ชายพวกนั้นไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งนี้แน่
“อะไรคือเหตุผลที่ราชาหัวเมืองตัดสินใจก่อกบฏกัน?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงแอบรู้สึกได้ถึงปัญหา แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจปัญหานั้นได้
“ฝ่าบาท”
“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”
ในเวลานี้ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นถามด้วยความเป็นห่วง
“ทําเช่นไร?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าประดับไปด้วยความเย็นชา “ในเมื่อพวกเขาต้องการจะสู้ ข้าก็จะสู้กับพวกเขาเอง”
ถ้าเหล่าองค์ชายไม่ก่อการกบฏ หลี่เชิงก็ไม่รังเกียจเลยที่จะใช้เวลาหลายสิบปี ค่อยๆ กําจัดเขี้ยวเล็บของเหล่าองค์ชาย และในที่สุดก็จะถึงเวลาตัดทอนอํานาจศักดินา
แต่ตอนนี้ เหล่าองค์ชายได้นํากองทหารนับล้านนายบุกเข้ามาในเมืองฉางอัน จักรพรรดิหลี่เชิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น
ถ้าเขามัวแต่มาลนลานตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ตนเองต้องเสียหน้า แต่ทั้งตระกูลหลี่จะต้องอับอายขายขี้หน้า
“เจ้ากระทรวงยุทธนาการ”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการในทันที
“ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการยืนขึ้นโค้งคํานับ
“รวบรวมกําลังไพร่พล”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ตามพระบัญชา”
ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการโค้งคํานับพร้อมกล่าวคํา
…..
ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา
“ลุงสาม”
องค์หญิงหลีหว่านยืนอยู่แถวนั้นแล้วตะโกนเข้าไปด้านในตําหนักขุนฝั่งขวา
“เจ้ามาทําอะไรที่นี่?” ซูฉินเดินออกมา เหลือบมององค์หญิงหลีหว่าน และถามออกมาอย่างสบายๆ
“ก็คราวที่แล้วมิใช่ลุงสามหรือที่บอกว่าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกยุทธให้มาหาได้นะ?”
องค์หญิงหลีหว่านทําตาโตกะพริบตาปริบๆ นางพูดอย่างน่าสงสารว่า “หรือว่าลุงสามจะลืมไปแล้ว”
“ก็ได้ ถามมาก็ได้”
ซูฉินส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงหลีหว่านไปเรียนวิธีการออดอ้อนแบบนี้มาจากใคร เขาจําได้ว่าน้องสาวของเขา ซูเยว่หยุนก็ทําเช่นนี้ไม่ได้
“เอาล่ะ”
“แล้วหลี่หยวนได้ฝึกวิทยายุทธหรือไม่?”
ซูฉินถาม
หลี่หยวนเป็นพระโอรสของจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถัง และจะกลายเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต
หลี่หยวนกลัวซูฉินมากราวกับหนูเห็นแมว ไม่เหมือนกับหลีหว่านเลย
“เขาหรอ? เขาไม่สนใจการฝึกยุทธเลย ข้าไม่อยากจะคุยอะไรกับเขา…”
องค์หญิงหลีหว่านส่ายหัวทําเลียนแบบผู้ใหญ่ “ข้าเพิ่งจะทุบตีเขาเมื่อวานแล้วบอกให้เขานําของอร่อยๆ มาให้ข้า”
ซูฉินพูดไม่ออกเมื่อได้ฟัง
อย่างไรเสียองค์หญิงหลีหว่านก็เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า ย่อมไม่มีปัญหาในการทุบตีเด็กอย่างหลี่หยวนที่อายุไม่ถึงสิบขวบปี
“บอกข้ามาเรื่องข้อสงสัยของเจ้า”
ซูฉินไม่พูดเรื่องอื่นต่อ รีบตัดเข้าประเด็นโดยตรง
แม้ว่านางจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า แต่องค์หญิงหลีหว่านก็พอจะรับรู้ได้ว่าวิชาบ่มเพาะที่ซูฉินมอบให้ เหมือนจะดียิ่งกว่าวิชาบ่มเพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในวังหลวง
“จําเอาไว้”
“วิทยายุทธนั้น การฝึกฝนไปทีละขั้นตอนเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด อย่างได้ใจร้อนเป็นอันขาด”
หลังจากที่ซูฉินกล่าวคําออกมาไม่กี่คํา เขาก็ปล่อยให้องค์หญิงหลีหว่านกลับไป
หลังจากที่องค์หญิงหลีหว่านกลับไป ซูฉินก็มองไปยังทิศทางของแนวชายแดน
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
และตั้งแต่มีข่าวออกมาในช่วงเช้า เมืองฉางอันก็ตื่นตระหนก แม้แต่คนในวังก็ซุบซิบเรื่องนี้กัน
…..
ในเวลาเดียวกัน
ห่างจากตัวเมืองฉางอันหลายพันลี้
กองทหารหลายล้านคนของเหล่าองค์ชายได้ตั้งค่ายอยู่ที่นี่
ที่ด้านหลังของกองทัพราชาหัวเมืองทั้งสิบก็รวมตัวกันอยู่ในกระโจม
“ผู้อาวุโส”
“ข้าจะรอ โปรดทําตามคํากล่าวของท่าน”
“เมื่อกองทัพเข้าใกล้เมืองฉางอัน บรรพบุรุษเก่าแก่ในวัง คงต้องฝากไว้ในมือของท่าน
ราชาเจี้ยนหนานมองไปที่ชายหน้าตาเฉยเมยซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเคารพนับถืออยู่เล็กน้อย
เมื่อราชาหัวเมืองอีกเก้าคนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงความเคารพออกมาเช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้เปิดเผยตัวตนออกมา ราชาหัวเมืองเหล่านี้ก็คงไม่กล้าเคลื่อนไหวและก่อการจลาจลเช่นนี้
ราชาหัวเมืองนั้นมีดินแดนที่แยกเป็นเอกเทศ แม้จะอยู่ใต้จักรพรรดิแต่นั่นก็แค่ในนาม จริงๆ แล้วอาณาเขตของพวกเขาเหมือนเป็นเขตแดนอิสระ
ความมั่งคั่งมั่งมี อํานาจ และสาวงาม พวกเขาต้องการส่งมันต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน
ด้วยสิ่งเหล่านี้องค์ชายจะกล้าเสี่ยงก่อกบฏได้อย่างไร
แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับมาจากชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้มันมากเกินไป จนเหล่าองค์ชายรู้สึกว่าการก่อกบฏครั้งนี้ไม่มีวันล้มเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
[1] Bingbu Shangshu ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการ แบ่งออกได้เป็นสองคํา คือ ปิง กับ ช่างชู
ช่างชู เดิมเป็นคําเรียกเสมียนเก็บรักษาจดหมายเหตุ แต่ภายหลังนํามาใช้เรียกตําแหน่งหัวหน้ากระทรวง (ปู้)
ปิงปู้ คือหัวหน้ากระทรวงยุทธนาการรับผิดชอบการแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ลดยศและถอดยศข้าราชการ รวมไปถึงกิจการทางการทหารต่างๆ เช่น การรบ การป้องกันประเทศ ตลอดจนงานส่งข่าวข้อความในช่วงสงคราม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]