Sign in Buddha’s palm 16 ถกปัญหาธรรม
เวลาผ่านเลยไป
ในพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านพ้น
ในช่วงเวลานี้ถึงแม้จะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในหลากหลายแห่งทั่วโลก แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบใดต่อวัดเส้าหลินแม้แต่น้อย
ชีวิตของซูฉินก็ยังคงเหมือนเดิม เขาลงชื่อเข้าใช้ไม่พลาดสักวันและมักจะมาฟัง ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ ของเหล่าศิษย์ลานจิปาถะ
ถึงแม้ที่ผ่านมาทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น
แต่วันนี้
วันอันแสนสงบสุขของซูฉินได้พังทลายลง
มีพระเก้ารูปที่อ้างตนว่ามาจากอารามวัชระเดินทางมาถึงวัดเส้าหลิน เพราะแบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงออกมาพบพวกเขาเองเป็นการส่วนตัวที่ด้านหน้าโถงประชุมใหญ่เพื่อแสดงความใส่ใจแก่แขกเหล่านี้
พวกศิษย์ของตำหนักต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนอยู่ที่ด้านนอกโถงใหญ่กันด้วย
“อารามวัชระเช่นนั้นหรือ?”
ซูฉินมองไปที่พระทั้งเก้ารูปที่มาจากอารามวัชระ
พระรูปด้านหน้าสุดของกลุ่มสงฆ์ทั้งเก้ายังเยาว์วัยยิ่ง อายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้นเอง
ส่วนอีกแปดรูปนั้น…
ซูฉินหันไปมองพระที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นพระที่ห่มกายด้วยจีวรสีแดงสวมหัวด้วยมงกุฎ
พระรูปนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอไปกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเลย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง
ถึงแม้อีกเจ็ดรูปจะมีไอพลังที่แตกต่างกันออกไป แต่มองคร่าวๆ ก็ทราบว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลาง
“เดี๋ยวจะต้องมีการเปิดงานแสดงครั้งใหญ่เป็นแน่…” ซูฉินกระซิบในความคิดของตน
แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของอารามวัชระ แต่เมื่อมองจากท่าทางที่เห็นก็เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนคงไม่ได้มีเจตนาอันดีเท่าไรนัก
เป็นไปตามที่คาด
ซูฉินก็ได้รับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็วผ่านการกระซิบกันของหมู่ศิษย์ด้านข้างเขาว่า กลุ่มพระจากอารามวัชระมาเยือนที่นี่เพื่อจะ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลิน
“เจ้าเห็นพระหนุ่มที่ด้านหน้านั่นหรือไม่? เขาคือบุตรอันศักดิ์สิทธิ์ป๋าถัวจากอารามวัชระ ความเป็นมาของเขานั้นลึกล้ำมากมีคนเล่าว่าถึงกับเกิดปรากฏการณ์พิเศษเมื่อยามที่เขาเกิดมา”
“แถมยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด”
“โอ้? ถ้าอีกฝ่ายเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิดจริง แล้ววัดเส้าหลินจะมีโอกาสโต้ตอบเขาในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ได้อย่างไรเล่า?”
“ดูก่อน บางทีท่านเจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักอาจจะหาหนทางได้?”
…
ศิษย์วัดเส้าหลินต่างกระซิบกันไปมาในหมู่พวกตน
แม้แต่ศิษย์สังกัดลานจิปาถะเองก็ยังเป็นกังวล
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักไหนพวกเขาต่างแบ่งปันชื่อเสียงเกียรติยศและความสง่างามของวัดเอาไว้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากจะเห็นวัดเส้าหลินแพ้ให้กับอารามวัชระ
“นะโม อมิตตาพุทธ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือทั้งสองไว้ด้านหน้าและพูดขึ้นว่า “พวกท่านเดินทางมาไกล วัดเส้าหลินย่อมปฏิบัติกับพวกท่านอย่างดี เดี๋ยวเราจะไปตระเตรียมอาหารเอาไว้ให้…”
ป๋าถัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระโค้งหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานาน หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพวกท่านจนเกินไป”
หลังจากมื้ออาหาร
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงเริ่มการ ‘ถกปัญหาธรรม‘
‘ถกปัญหาธรรม‘ นี้เป็นประเพณีในหมู่สำนักสายพุทธทั้งสี่ และมีเพียงพระที่มีอายุไม่เกินยี่สิบปีจึงสามารถเข้าร่วมได้
นี่เป็นกลวิธีในการวัดความแข็งแกร่งของคนรุ่นหลังในสำนักสายพุทธทั้งสี่ เพื่อยืนยันว่าใครจะเป็นผู้นำในหมู่สี่สำนักดังกล่าว
“ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งนี้ มีเพียงป๋าถัวเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของอารามวัชระ”
ตอนนี้เองที่พระสงฆ์ระดับชั้นที่สองห่มชุดสีแดงและมีมงกุฎบนหัวยืนขึ้นกล่าวคำ
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นทั้งเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างขมวดคิ้วเป็นปม
ต้องทราบว่าในอดีต กฎของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ คือการส่งศิษย์ฝ่ายละเก้ารูปมา ‘ถกปัญหา‘ กันทีละคนแล้วจึงตัดสินผู้ชนะ
แต่ตอนนี้ อารามวัชระต้องการจะส่งป๋าถัวเพียงคนเดียว? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจะใช้ป๋าถัวคนเดียวจัดการกับศิษย์ทั้งเก้าจากวัดเส้าหลิน
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการดูถูกวัดเส้าหลินแล้ว
แม้เจ้าอาวาสจะฝึกตนมาในระดับสูงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้า การแสดงออกก็ถึงกับเปลี่ยนไป หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ดุดันก็จ้องเขม็งไปที่พระทั้งเก้ารูปจากอารามวัชระ
ถึงจะได้รับความกดดันจากวัดเส้าหลิน พระที่มีพลังยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระก็ไม่ได้สนใจอะไร
‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันผ่านคติของชาวพุทธและหลักความคิดเชิงพุทธระหว่างสำนักสายพุทธ ซึ่งในแต่ละมุมมองของแต่ละสำนักคือจะมีแต่การชนะกัน ไม่มีฝ่ายพ่ายแพ้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]