Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!
ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร
ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด
“ข้าแพ้แล้ว”
เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง
แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก
การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี
ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น
ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป
เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก
“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”
ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน
“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ
“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่
เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?
“นะโม อมิตตาพุทธ……”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”
“ครับท่านเจ้าอาวาส”
ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่
‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ช่างน่าเบื่อ”
ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส
พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย
“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”
ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์
สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่
อย่างไรก็ตาม
เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์
“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า
“แพ้หมด?”
ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่
ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว
เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก
และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน
โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ
แต่ในตอนนี้
เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย
มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…
ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว
“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้
แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?
จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก
มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า
เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน
ภายในครึ่งชั่วโมง
“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]
ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน
“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”
ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม
เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว
“นะโม อมิตตาพุทธ…”
พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา
ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?
เพียงคนเดียว!
บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย
เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง
“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”
พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา
การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร
หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ
เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด
แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ
“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”
หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น
“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”
“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”
ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ
จากนั้นไม่นาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]