ด้านนอกสวนต้องห้าม
องค์จักรพรรดิเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
ซูเยวหยุนจงใจเลี่ยงความสนใจโดยการขออยู่เพียงลําพังกับซูฉิน ทําไมจักรพรรดิถังจะไม่รู้ว่านางหมายความว่าอะไร
“เด็กโง่ ยังมัวมากังวลอีกว่าข้าจะยอมรับไม่ได้…” แววตาของจักรพรรดิถังฉายแววอ่อนโยน
เขาอยู่ท่ามกลางประชาชนคนทั่วไปมากว่าสามสิบปีแล้ว แม้ว่าจะมีหลิวกงกงที่ได้รับคําสั่งจากองค์จักรพรรดิถังพระองค์ก่อนให้ปกป้องเขาอยู่อย่างลับๆ แต่หลิวกงกงก็จะทําหน้าที่เพียงแค่ปกป้องจากอันตรายเท่านั้น
ตราบใดที่จักรพรรดิถังไม่มีภัยคุกคามใดถึงชีวิต หลิวกงกงก็จะไม่ออกหน้า
ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นทําให้จักรพรรดิถังไม่เคยได้รับความรู้สึก ไม่เคยรู้ว่าความอบอุ่นนั้นเป็นเช่นไร
จนกระทั่งเขาได้พบพานกับซูเยว่หยุน จักรพรรดิถังก็ตระหนักว่าความอบอุ่นนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร
และนั่นก็ทําให้ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ กว่าสิบปีแล้วที่จักรพรรดิถังขึ้นครองบัลลังก์ แต่ตัวเขาก็ไม่เคยรับนางสนมคนใดเลย ยืนกรานในคําสัญญาว่าจะแต่งงานกับซูเยว่หยุนคนเดียวเท่านั้น
“ฝ่าบาท หยุนเอ๋อจะต้องไม่เป็นอะไร” ซูชื่อหมินที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบใจขึ้นมา
หลังจากเกิดเรื่องใหญ่โตดังกล่าว ตระกูลซูก็รีบเดินทางเข้าวังหลวงมาแต่เช้าเพื่อจะเยียมซูเยว่หยุน
“ถูกต้อง ฝ่าบาท เสี่ยวฉันอยู่วัดเส้าหลินมานานหลายปี ต้องได้เรียนรู้ทักษะอะไรมาไม่น้อย” ซูเฉิงฮ่าวพูดอย่างระมัดระวัง
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินคําพูดนั้น
“หยุนเหนียงกับพี่สามเข้าไปนานแค่ไหนแล้วนะ?” จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังสวนต้องห้ามที่อยู่ถัดออกไป
สวนต้องห้ามได้รวบรวมดอกไม้ล้ําค่าทั่วทั้งดินแดน ปกติมีคนคอยดูแลพวกมันอยู่ตลอดเวลา ต้องรู้ว่าดอกไม้พวกนี้บอบบางยิ่ง เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมันก็จะค่อยๆเหี่ยวเฉา
“ฝ่าบาท ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนสวนกล่าวคําเสียงสั่นๆ ทันทีที่ได้ยินคําถามนั้น
“ครึ่งชั่วโมง?”
จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยามนี้จะมีดอกไม้บานมากเท่าใดกันในสวนต้องห้าม? ใช้เวลานานเพียงนี้กับการเดินชมดอกไม้?”
ในสายตาของจักรพรรดิถัง ซูเยวหยุนและซูฉินไปที่สวนต้องห้ามเพื่อระลึกถึงความหลังให้ได้มากที่สุด และมันคงจะใช้เวลาไม่นาน แต่แปลกที่ว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมากัน
“ฝ่าบาท ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว ดอกไม้ส่วนใหญ่เหี่ยวเฉา และมีดอกไม้ที่ยังบานอยู่ไม่มากนัก” คนสวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรายงาน
เขาดูแลสวนต้องห้ามอยู่ทุกวัน และย่อมรู้สภาพการณ์ทุกอย่างภายในนั้นเป็นธรรมดา
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
ซูเฉิงฮ่าวที่อยู่ด้านข้างก็โพล่งขึ้นมาว่า “พวกเจ้า ได้กลิ่นดอกไม้หรือไม่?”
หลังจากซูเฉิงฮาวพูดจบ เขาก็สูดดมอย่างแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“กลิ่นดอกไม้?”
“กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ขจรขจายในฤดูหนาวมันเป็นเรื่องบ้าอันใด?” ซูชื่อหมินกลอกตาและกําลังจะดุซูเฉิงฮ่าวเพื่อที่จะไม่ทําตัวน่าอับอายต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท
แต่วินาทีต่อมา
ซูชื่อหมินก็ตกตะลึง
“ดูเหมือนว่ามันจะมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาจริงๆ?”
ซูชื่อหมินตะลึงงัน ไม่อยากจะเชื่อ
“มันเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้จริงๆ น่าจะเป็นกลิ่นของดอกท้อ ข้าจําได้ว่าสมัยเด็กข้ามักจะไปวิ่งเล่นที่ภูเขาด้านหลังซึ่งมีดอกท้ออยู่มากมายที่นั่น” ซูเฉิงยู่กลืนน้ําลาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะจมูกของตนได้กลิ่นดอกไม้จริงๆ เขาคงคิดว่าตนมีอาการประสาทหลอนเป็นแน่
ดอกท้อเป็นดอกไม้ที่บานใบฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว จะหากลิ่นหอมของดอกท้อได้ที่ไหนกัน?
“ดอกท้อ?”
จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว ดูเหมือนมันจะยากที่จะทําความเข้าใจว่าเหตุใดกลิ่นหอมของดอกท้อจึงปรากฏขึ้นในขณะนี้
“ดอกท้อ นี่เป็นกลิ่นของดอกท้อที่บานสะพรั่งจริงๆ” คนสวนแห่งราชสํานักที่อยู่ใกล้ๆพึมพําอยู่กับตนเอง
หากกลิ่นหอมของดอกท้อในฤดูหนาวทําให้คนอื่นๆตกตะลึงเช่นนี้แล้ว ในสายตาของผู้ที่ดูแลดอกไม้มาทั้งชีวิต ก็เหมือนกับโลกนี้กลับตาลปัตรไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ชนิดใดล้วนผลิบานตามฤดูกาล ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่บัดนี้
คนสวนหลายคนต่างจ้องหน้ากัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหลุดออกจากภวังค์ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]