เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 220

]Sign in Buddha’s palm 220

“หาถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเจอแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน แสดงสีหน้าตกใจ

พวกเขาค้นหาทั่วทะเลบูรพามานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วตอนนี้กลับพบมันอย่างกะทันหัน?

หมิงโยวดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงความสงสัยในใจทุกคน จึงอธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว “ประกายแสงสีเลือดนี้เป็นทักษะ ลับของนิกายเฮยหยวนของข้าสกัดเลือดของลูกหลา นศิษย์จ้าวทะเลบูรพาออกมาปรับแต่ง”

“ตราบใดที่มันอยู่ในระยะหนึ่งลี้ห่างจากถ้ําเซียนมันจะสามารถจับตําแหน่งได้ นอกจากนี้เมื่อกลิ่นอายของถ้ําเซียนรั่วไหลออกมามันก็สามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกัน”

เมื่อหมิงโยวพูดมาถึงตอนนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาและพูดต่อไปว่า “เดิมที่กระแสปราณฉีค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมาแล้วข้าเดาว่าค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องเสื่อมถอยลงแต่ก็ยังไม่แน่ใจ”

“แต่ตอนนี้เหมือนว่าข้าจะคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว”

ขณะที่หมิงโยวพูดออกมา น้ําเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เนื่องจากกลิ่นอายของถ้ําเซียนรั่วไหลออกมาในเวลานี้หมายความว่าค่ายกลนั้นยังคงทํางานมาโดยตลอด

ตราบใดที่ค่ายกลฟ้าดินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนเทพปฐพียังไม่เสื่อมสภาพจนกลายเป็นขยะ ในช่วงที่กระแสปราณฉี แห้งเหือดเช่นนี้ใครจะสามารถฝาเข้าไปได้บ้าง?

ดังนั้นหมิงโยวจึงตัดสินว่า สมบัติมากมายภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาควรจะยังอยู่และไม่มีใครมาจับจองเอาไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

“สหายหมิงโยว พวกเรายังจะรออะไรกันอยู่อีก?”

ชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบรีบกล่าวออกโดยทันที

“ไม่ต้องรีบ

“ประกายแสงสีเลือดจับตําแหน่งได้แล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นหรอก”

หมิงโยวค่อยๆ เดินทางตามประกายแสงสีเลือดไป และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

ไม่ช้านาน

คนทั้งหลายก็มาถึงน่านน้ําอันว่างเปล่า

“มันคือที่นี่หรือ?”

เมื่อเห็นว่าประกายแสงสีเลือดยังคงหมุนวนต่อไป หมิงโยวก็มั่นใจว่าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาต้องอยู่ใกล้ๆ นี้

เฉว่ยว ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและผู้อาวุโสคน อื่นๆต่างมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ทําไมข้าไม่เห็นรู้สึกถึงกลิ่นอายอะไร?”

“หึ!”

หมิงโยวเยาะเย้ย “จ้าวทะเลบูรพาเป็นตัวตนเช่นไรด้วยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลของเขา เจ้าจะสามารถหยังถึงได้อย่างไร?”

“มิผิด”

นักพรตจากสํานักเอกะวิถีพยักหน้าเล็กน้อย “มีบันทึกในสํานักของข้ากล่าวว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นสูงส่งเสียดฟ้า เป็นรองก็แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามในยุคนั้นจ้าวทะเลบูรพาก็น่าจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน เวลาต่อมาตามการคาดการณ์ของทุกคน……”

“สงครามครั้งนั้น…..

หมิงโยวมองนักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยความสนใจ “ฝ่ายใดที่ชนะการต่อสู้?”

เมื่อเทียบกับนิกายอื่นๆ ในต่างแดนที่สืบทอดมรดกมาหลายหมื่นปีหรือแม้กระทั่งสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด

มรดกของนิกายเฮยหยวนนั้นมีอายุสั้นกว่ามากแม้จะยาวนานเช่นกันแต่ก็รู้เพียงว่าสงครามในยุคนั้นช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งและแม้แต่จอมยุทธผู้ไร้เทียมทาน เป็นที่กล่าวขานกันว่าแข็งแกร่งที่สุดอยู่เหนือขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ต่างตกตายกันราวกับใบไม้ร่วง

ไม่เช่นนั้นแล้ว แม้กระแสปราณฉีจะซบเซาลงพวกเขาก็คงจะยังไม่ตาย

“แน่นอนว่าพวกเราชนะ”

นักพรตสํานักเอกะวิถีส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงถูกปีศาจเข้ายึดครองไปแล้ว พวกเรายังจะได้มายืนพูดคุยกันอยู่ที่นี่หรือ?”

นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาเช่นนี้ก็หยุดไปชั่วครู่ ถอนหายใจออกมา “ถึงแม้โลกของเราจะขับไล่โลกถ้ําปิศาจไปได้มันก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจนน่าสลดใจเช่นกัน โดยเฉ พาะในช่วงท้ายของสงครามซึ่งได้สร้างความรําคาญใจให้กับเทพเจ้าปีศาจแห่งโลกถ้ําปีศาจ อีกฝ่ายจึงลืมตาตื่นขึ้นมาจากส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจจ้องมายังโลก….”

“ด้วยการจ้องมองที่น่าสะพรึงกลัวนั้น สนามรบก็พลันถล่มลงมาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ต่างล้มหายตายจากสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่พวกเรา….”

นักพรตเฒ่าเหม่อมอง เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

หลังจากผ่านเวลาไปเนิ่นนาน ความเป็นจริงในช่วงนั้นก็ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้หมด แม้ว่าจะเป็นนิกายใหญ่เองก็ตามพวกเขาก็แทบไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทําได้เพียงอนุมานเอาจากบันทึกโบ ราณภายในนิกายของตนเท่านั้น

“เข้าใจแล้ว”

ท่าทีของหมิงโยวนั้นเคร่งขรึม

แม้ร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวนจะแข็งแกร่งที่สุดในด้านการเอาตัวรอดแต่หมิงโยวก็รู้ตัวเองดีเช่นกัน

สิ่งที่เรียกว่าจุดแข็งในการเอาตัวรอดนั้น ในอีกแง่ หากมองย้อนไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เมื่อต้องเผชิญกับการจ้องมองของเทพเจ้าปีศาจแม้ว่าบรรพชนของนิกายเฮยหยวน จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเขาก็ต้องตายแล้วตายอีกจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้วเป็นแน่

“ไม่ต้องพูดคุยกันให้มากความแล้ว”

“รีบทําลายค่ายกลกันเถอะ”

หมิงโยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงยื่นมือขวาไปด้านหน้าทันใดนั้นกลุ่มหมอกสีดําก็ปรากฏขึ้นมา

กลุ่มหมอกสีดํานี้ถูกขว้างออกไปตรงๆ

ในชั่วพริบตา

ชั้นของค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากก็ปรากฏขึ้น มันถูกเผยออกมาให้เห็นเมื่อสัมผัสเข้ากับกลุ่มหมอกสีดํา

“อยู่ตรงนี้งั้นรึ?”

ท่าทีของหมิงโยวเปี่ยมไปด้วยความยินดี

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่จัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพานั้นช่างซ่อนเร้นเสียจริง แม้มันอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วก็ยังไม่สามารถรู้สึกได้เลยแม้แต่น้อย

การที่มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง

หมิงโยวต้องอาศัยประกายแสงสีเลือดเท่านั้นจึงจะยืนยันได้ว่ามันอยู่ที่นี่จริงๆ

“ค่ายกลฟ้าดินที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ เมื่อเทียบกับค่ายกลที่คอยคุ้มกันนิกายใหญ่ก็ยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าค่ายกลหลังนี้”

นักพรตเฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย กระซิบเบาๆ ด้วยความตกใจ

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรต่อ?”

เฉวยวี ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะถามออกไปตรงๆ

“พวกเจ้าจงยืนตามตําแหน่งเหล่านี้ พยายามอย่างเต็มที่ในการโจมตีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี่ซะ” หมิงโยวไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอะไร “ทําลายค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ด้วยกําลังของพวกเราดูจากพลังของพวกเราแล้ว เมื่อโจมตีอย่า งเต็มที่ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็คงฝาค่ายกลขนาดใหญ่นี้เข้าไปได้”

หมิงโยวเหลือบมองทุกๆ คน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]