Sign in Buddha’s palm 285 พลังของจิต วิญญาณแรกกําเนิดอันน่าสยดสยอง
ณ พรรคหมื่นดาบ
เหนือยอดเขาดาบพันจ้าง
ภายในห้องโถงใหญ่
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ภายนอกดูสงบนิ่งไร้ความผันผวน เหมือนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงจุดนั้น
แต่ในความเป็นจริง ภายในร่างของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงที่แทบจะสั่นสะเทือนโลกได้เลยทีเดียว
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังคงผสานเข้าด้วยกัน ควบแน่นเป็นร่างลวงตาอยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ยืนอยู่ข้างองค์ยูไลทองคําที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือเอื้อมแตะพสุธา
การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพในระดับจิตวิญญาณ ไม่เกี่ยวข้องกับจิตใจแห่งฟ้าดินภายนอก จึงไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
เมื่อเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดหลายต่อหลายเม็ดถูกกลืนลงลําคอ กลายเป็นพลังงานจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน ภายในส่วนลึกกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ร่างที่ปรากฏขึ้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากร่างลวงตากลายมาเป็นร่างที่มีอยู่จริง
และในตอนนี้
นอกห้องโถงที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตนหลีหว่านจับตามองดูห้องโถงอย่างใกล้ชิด หลังจากยืนยันได้ว่าซูฉินคงยังไม่ได้ออกมา ก็มีความผิดหวังอยู่บนใบหน้าของนาง จากนั้นนางจึงหยิบดาบยาวที่มีความยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของความสูงมนุษย์ขึ้นมา นางพบดาบยาวเล่มนี้บนยอดเขาดาบ ดาบนี้มีจิตวิญญาณอยู่ภายใน ในตอนนั้นดาบยาวเล่มนี้โบยบินอยู่ในอากาศและเริ่มลอยเข้ามาขนาบที่ด้านข้างของหลีหว่าน ส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ เขารู้จักดาบยาวเล่มนี้ มันเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่สืบทอดต่อมาในพรรคหมื่นดาบ เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้หัวใจของตํานานยุทธขั้นสูงสุดเต้นแรง แต่บัดนี้มันกลับลอยไปหาหลีหว่านด้วยตัวเองราวกับพบเจ้าของ
หลีหว่านชอบดาบยาวเล่มนี้เช่นกัน และใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ซูฉินมอบให้นางก่อนจะปิดด่านฝึกตน
ในระหว่างที่นางฝึกฝนวิชาพร้อมกับดาบยาวเล่มนี้ หลีหว่านรู้สึกเล็กน้อยว่าเจตจํานงดาบในกาย นางยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกิดบรรยากาศแปลกประหลาดสะท้อนก้องอยู่รอบตัวนาง
“เคล็ดวิชาที่ลุงสามมอบให้ข้านี้มีประโยชน์ยิ่งนัก”
หลีหว่านกําลังฝึกดาบอย่างมีความสุข โดยดึงเจตจํานงดาบในร่างออกมาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสอดคล้องระหว่างกัน
จนถึงตอนที่บรรพชนดาบจะตายไปแล้ว เขาคงอาจจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามทํามาอย่างหนัก กลับกลายเป็นเข้ากับหลีหว่านได้อย่างดี
“ปู่เฟยยวี่ ท่านว่าลุงสามจะออกจากด่านฝึกตน เมื่อไหร่กัน….” หลีหว่านฝึกดาบพร้อมทั้งหันไปมองชายชราผมขาว
ในช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกัน หลีหว่านก็ได้รู้ว่าชายชราผู้นี้ชื่อว่า “เฟยยวี่”
“มิกล้ามิกล้า” ชายชราเฟยยวี่โพล่งออกมา พร้อมหลั่งเหงื่อเย็นเยียบรีบโบกมือพัลวัน “เจ้า เรียกนายท่านว่าลุงสาม แต่กลับเรียกข้าว่าปู่ นี่ไม่ ใช่จะกลายเรื่องยุ่งยากหรอกหรือ?”
ในสายตาของเฟยยวี่ เขามองว่าซูฉินไม่ต่างไป จากเซียนเทพปฐพี จะกล้าให้ผู้อื่นมาเรียกตนเช่น นั้นได้อย่างไร?
“แต่หากนายท่านยังคงปิดด่านฝึกตนอยู่อย่างนี้ ต่อไป เกรงว่าจะมีปัญหาใหญ่…” เฟยยวี่ยังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ความกังวลฉายขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
ตั้งแต่ซูฉินปิดด่านฝึกตน ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แม้ว่าโลกภายนอกจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงแล้ว พวกเขาก็ยังไม่กล้าส่งใครมาสืบสวน ชายชราเฟยยวี่และหลีหว่านก็ยังสบายใจได้อยู่
แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายชราเฟยยวี่ รู้สึกได้ชัดเจนว่ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลายสายพัดผ่านตนเองไป
นอกจากนี้ ชายชราเฟยยวี่ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเหมือนมีคนแอบเฝ้ามองอยู่ตลอด ทําให้หัวใจเขาสั่นไหวยิ่งขึ้นไปอีก
การที่มาแอบดูโดยที่เขาไม่สามารถค้นพบได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าชายชราเฟียยวมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉินยังคงมีกิตติศัพท์ก้องไกลอยู่ เกรงว่าคงมีใครสักคนลงมาเหยียบเกาะหมื่นดาบนี้นานแล้ว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หว่านเอ๋อจะปกป้องลุงสามที่อยู่ในด่านเอง…” หลีหว่านได้ยินสิ่งที่ ชายชราเฟียยวี่พูด นางกําหมัดและโบกดาบยาวในมือไปมา กล่าวออกอย่างจริงจัง
“คงได้แต่ต้องมีความหวังล่ะนะ…” ชายชราเฟยยวี่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ คนพวกนั้นยังกล้ามาสํารวจพรรคหมื่นดาบและแม้กระทั่งเข้ามาในเขตเกาะหมื่นดาบ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา อาจจะไม่ถึงขั้นที่พวกเขาสามารถแปลงจิตวิญญาณได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ไม่ห่างจากจุดนั้นมากนัก
ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่ในยุทธภพต่างแดน ก็นับว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุด สามารถก้มมองสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด เพียงความคิดเดียวก็ครอบงําทุกสิ่งได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จอมยุทธตัวน้อยเช่นหลีหว่านที่ยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธจะหยุดยั้งได้?
“น่าจะอีกสักหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ แม้ว่าโลกภายนอกจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน ไม่ว่าจะมาสํารวจเกาะหมื่นดาบด้วยวิธีใด แต่พวกเขาจะไม่ลงมาเหยียบเกาะแน่”
ชายชราเฟยยวี่ คิดอยู่เงียบๆ “หากใช้เวลานานเกินกว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าจะมีคนเดินทางมายังเกาะหมื่นดาบเพื่อเยี่ยมเยียนนายท่าน เมื่ออีกฝ่ายพบว่านายท่านกําลังปิดด่านฝึกตนอยู่ คงจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี…”
ความคิดของชายชราเฟียยวแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่เมื่ออยู่ในด่านฝึกตน กลับเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุด พลังงาน ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การบุกทะลวงของตนเอง แม้จะตรวจพบการโจมตีจากศัตรู แต่ก็คงทําอะไรไม่ได้มาก
ถ้าหากการปิดด่านฝึกตนถูกขัดจังหวะเมื่อไหร่ ทุกสิ่งที่ทํามาคงถดถอย
และถ้าคนอื่นรู้ว่าซูฉินอยู่ในด่านฝึกตน ชายชราเฟยยวี่ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
รู้หรือไม่ว่าการทําลายพรรคหมื่นดาบทําให้กองกําลังต่างๆ ในต่างแดนต่างก็กังวลกันไปมากมาย
หากซูฉินยังคงอยู่ในจุดสูงสุด กองกําลังต่างๆย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จําเป็น
แต่ตอนนี้ซูฉินไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้ว่าชายชราเฟยยวี่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ทําได้เพียงหวังว่าซูฉินจะออกจากด่านฝึกตนโดยเร็วที่สุดในช่วงเวลานี้ หลีหว่านฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้เป็นไปตามคํามั่นสัญญาที่บอกว่าจะปกป้องซูฉิน และด้วยเจตจํานงดาบในร่างที่คอยหล่อเลี้ยง นางก็ได้ทะลวงระดับครั้งแล้วครั้งเล่า แปรสภาพร่างกายรวมถึงแปลงกําลังภายในเป็นแก่นแท้แห่งพลังได้ภายในเวลาอันสั้น กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่แปรสภาพพลังถึงสองครั้ง
แน่นอนว่าหลีหว่านก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
เหตุผลที่ทําให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงในช่วงไม่นานมานี้ ยังเป็นผลมาจากโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่พรรคหมื่นดาบมอบให้ในช่วงก่อนหน้าแต่เมื่อการแปรสภาพทั้งสองครั้งเสร็จสมบูรณ์ พลังที่สะสมอยู่ภายในร่างก็ถูกใช้ไปหมดสิ้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่กวาดผ่านครอบคลุมรัศมีกว่าสองร้อยห้าสิบลี้ก็ค่อยๆสลายไป แต่ชายชราเฟียยวรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดกําลังหดตัวและไหลกลับเข้าไปในห้องโถง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]