เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 310

สรุปบท ตอนที่ 310 คารวะมนุษย์ สวรรค์: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนที่ 310 คารวะมนุษย์ สวรรค์ – ตอนที่ต้องอ่านของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนนี้ของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 310 คารวะมนุษย์ สวรรค์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

1512ac7b6e5b6e581dc7c651c9684edd.png
Sign in Buddha’s palm 310 คารวะมนุษย์ สวรรค์

“น้ําเต้ามิติ?”

ทันใดนั้น จิตใจของซูฉินก็ได้รับข้อมูลจํานวนมากเกี่ยวกับ น้ําเต้ามิติ” นี้

ในเวลาเดียวกันซูฉินก็ผสานเข้าไปในพื้นที่ของระบบอย่างรวดเร็ว เห็นน้ําเต้าขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่ง

ตัวน้ําเต้ามีสีเหลืองเข้ม ผิวของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา ราวกับมันอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว ปล่อยบรรยากาศที่ดูโบราณออก
มา

“กลายเป็นว่ามันคือสมบัติพื้นที่มิติ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินซึ่งดูพึงพอใจมาก

น้ําเต้ามิติอันนี้เป็นสมบัติพื้นที่มิติ ซึ่งมีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ ขนาดประมาณหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออก

สิ่งนี้ทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

ต้องรู้ว่าแม้คลังของระบบจะสามารถบรรจุได้ทุกสิ่ง แต่ก็สามารถเก็บเฉพาะสมบัติที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ซูฉินเคยสังหารมังกรปีศาจแต่ก็ไม่สามารถเก็บไว้ในคลังของระบบได้ ในที่สุดก็ทําได้เพียงกลั่นเลือดเนื้อมังกร มันเสียตรงนั้นจนได้ออกมาเป็นโลหิตมังกรเก้าหยด

การกลั่นอย่างเร่งรีบนี้ไม่เพียงแต่จะทําให้ใช้ ซากของมังกรได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเสียจังหวะด้วย หากมีคนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย จะปล่อยให้ซูฉินมีเวลากลั่นเลือดมังกรได้อย่างไร?

แม้สมบัติพื้นที่มิติจะมีเพียงความสามารถเดียว และโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถใช้โจมตีหรือป้องกันได้ แต่ก็สะดวกสบายมากสําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดไปจนถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี อย่างน้อยการพกพาสิ่งของไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเอาไปเท่าใด

“เมื่อพูดถึงสมบัติพื้นที่มิติ หลังจากที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ข้าจะขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุนเพื่อนําวิหารการสงครามกลับคืนมา”

ซูฉินนึกขึ้นได้แล้วจึงตัดสินใจออกมาเช่นนี้

ระหว่างการเดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุน ซูฉินประสบความสําเร็จในการปรุงแต่งวิหารการสงคราม และด้วยความแข็งแกร่งที่จํากัดของเขา การควบคุมวิหารการสงครามจะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วเท่านั้นจึงจะเรียกมันกลับมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่าได้

วิหารการสงครามเอง พูดให้ถูกก็เป็นสมบัติพื้นที่มิติเช่นกัน

แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ภายในน้ําเต้ามิติแล้ว วิหารการสงครามนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก พื้นที่ภายในน้ําเต้ามิตินั้นรองนับได้เพียงขนาดหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออกเท่านั้น เป็นพื้นที่ที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของวิหารการสงครามเสียอีก

แน่นอน เมื่อเทียบกับสมบัติวิเศษอื่นๆ สมบัติพื้นที่มิติเป็นของที่พิเศษที่สุดในบรรดาสมบัติวิเศษทั้งหมด แม้แต่สมบัติพื้นที่มิติที่อ่อนแอก็ต้องเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นจึงจะสร้างมันขึ้นมาได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมสมบัติพื้นที่มิติจึงหายาก อย่างน้อยในยามที่ซูฉินทําลายพรรคหมื่นดาบ เขาก็ไม่พบร่องรอยของสมบัติพื้นที่มิติเลย

พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกจากนักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่ถึงห้าพันปีก่อน มันไม่มีสมบัติพื้นที่มิติแม้แต่ชิ้นเดียว สามารถจินตนาการถึงความล้ําค่าของสมบัติพื้นที่มิติได้ไม่ยาก

“ว่ากันว่าผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดจะเชี่ยวชาญในด้านพื้นที่มิติอันลึกลับ และด้วยความช่วยเหลือของผลึกหินมิติ สมบัติพื้นที่มิติจึงถูกสร้างขึ้นมาได้…”
ซูฉินคิดอยู่กับตนเอง

“สําหรับสมบัติพื้นที่มิติธรรมดา พื้นที่ที่สามารถบรรจุได้โดยทั่วไปควรมีขนาดเท่ากับโถงไท่จี้ แต่น้ําเต้ามิติอันนี้มีขนาดถึงหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออก มันควรเป็นสมบัติพื้นที่มิติระดับสูง หรืออาจจะเป็นแม้แต่สมบัติพื้นที่มิติชั้นยอด……

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“ส่วนวิหารการสงคราม……”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

ในแง่หนึ่ง แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสมบัติพื้นที่มิติ แต่ความล้ําค่าของมันนั้นสูงกว่า สมบัติส่วนใหญ่อย่างแน่นอน แค่ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามในส่วนลึกของวิหารการสงครามก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะทุกสิ่ง ทําให้ผู้ที่ทรงพลังแข็งแกร่งต้องทําความเข้าใจมันเป็นร้อยเป็นพันปี…

“ด้วยน้ําเต้ามิตินี้ มันจะช่วยหลายๆ เรื่องได้อีกมาก” ดวงตาของซูฉินหันเหไปเล็กน้อย มองไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายที่ยังคงรอคอยอยู่ด้านนอกวังหลวงด้วยความเคารพ

ช่วงเวลาต่อมา

ร่างของซูฉินก็หายไป

ในเวลาเดียวกัน เหนือกําแพงพระราชวัง

จักรพรรดิถัง กองทหารและเหล่าขุนนางแห่งราชสํานักก็มองดูสมบัติที่ผู้นํานิกายทั้งหลายนํามา มอบให้หัวใจของพวกเขาตื่นตะลึง

แม้พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจมรดกอาวุธวิเศษสิบชิ้นที่เสนอมาโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน แต่โอสถจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปีสิบขวดที่เสนอโดยสํานักเทพโอสถนั้นเกินจินตนาการของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆไปหน่อย

แม้ว่าจะมีโสมโบราณอายุหลายร้อยหรือหลายพันปีภายในพระราชวังถัง แต่โสมโบราณไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ยังด้อยกว่าหยดน้ําจิตวิญญาณอยู่มาก

หยดน้ําจิตวิญญาณนั้นจะเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยจิตใจฟ้าดินและพลังงานฟ้าดินเท่านั้น สําหรับอาณาจักรถังนั้น…..

ก่อนกระแสปราณฉีฟื้นคืน อาณาจักรถังแทบจะไม่มีคุณสมบัติในการให้กําเนิดหยดน้ําจิตวิญญาณเลย ไม่เพียงแต่อาณาจักรถังเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกยุทธภพต่างแดนด้วย

ยิ่งกว่านั้น นี่คือโอสถหยดน้ําจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปีเชียวนะ?

สําหรับหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าหนึ่งชั่งที่เสนอ โดยนิกายเทพเจ้าสายฟ้า และผลจิตวิญญาณหิมะสิบแปดผลที่เสนอมาโดยตําหนักเทพเจ้าหิมะ มันเหนือกว่าความรู้ความเข้าใจของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆไปอย่างสมบูรณ์

หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าเอย ผลจิตวิญญาณหิมะเอย อย่าว่าแต่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แค่เคยได้ยินมาก็ยังไม่เคย

เพียงแต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะ รวมถึงนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ มาถึงที่นี่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวขอร้องอ้อนวอนการอภัยโทษ อย่างน้อยมันย่อมไม่น่าด้อยค่าไปกว่าอาวุธวิเศษ และโอสถจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปี…

“เราจะยอมรับไว้ดีไหม?”

จักรพรรดิถังมองลงไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายที่อยู่นอกวังด้วยความเคารพ มีความลังเลใจเล็กน้อย

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ซูฉินในชุดคลุมสีดําก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆที่เบื้องหน้าเขา มองไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย

“พี่สาม” จักรพรรดิถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้าซูฉินไม่ปรากฏตัว เขาก็ไม่รู้จะหาวิธีจัดการกับเหล่าผู้นํานิกายอย่างไรดี
“คารวะมนุษย์สวรรค์!”

เมื่อเห็นซูฉินเจ้าสํานักผู้วิเศษและผู้นิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็กล่าวออกอย่างนอบน้อมในทันที

“ไม่พอ” ซูฉินกวาดตามองไปอย่างสุ่มๆ กล่าวออกอย่างใจเย็น
หากผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายต้องการจะขออภัยโทษโดยอาศัยสมบัติเพียงเท่านั้น มันคงไม่เพียงพอ

ซูฉินกวาดตามองดูผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย แล้วกล่าวออกอย่างช้าๆ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เพียงความคิดเดียวก็สามารถบดขยี้ผู้นํานิกายที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
แต่นั่นไม่จําเป็นต้องทํา

ผู้นํานิกายคนอื่นๆ โดยปกติแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากนิกายเฮยหยวน
สําหรับนิกายใหญ่ทั้งหลาย ตราบใดที่นิกายยังคงอยู่ จะต้องมีวันที่รุ่งเรืองขึ้นใหม่ได้แน่

“ท่านมนุษย์สวรรค์เชี่ยวชาญในการใช้สมบัติ พื้นที่มิติด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เจ้าตําหนักผู้วิเศษรู้สึกได้ว่ากิ่งไม้ดินวิเศษ ที่อยู่เบื้องหน้าตนนั้นหายไป รูม่านตาของเขาหดลงอย่างกะทันหัน ความเคารพก็มีมากขึ้นไปอีก

พื้นที่จัดเก็บมันมีขนาดราวๆห้องห้องหนึ่ง

แต่กระนั้น สมบัติพื้นที่มิตินี้ก็ยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสํานักผู้วิเศษ มันถูกวางไว้ในที่เดียวกันกับสมบัติล้ําค่าของสํานักผู้วิเศษ

ทําไมเจ้าสํานักผู้วิเศษจึงไม่คาดคิดว่าซูฉินจึงเชี่ยวชาญในการใช้สมบัติพื้นที่มิติน่ะหรือ?

เพราะสมบัติพื้นที่มิติสามารถปรุงแต่งได้เพียงผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้น ถ้าซูฉินเชี่ยวชาญในการใช้สมบัติพื้นที่มิติ บางที่เขาอาจจะได้รับมันมาจากผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดผู้หนึ่งหรือไม่?

ขณะที่ความคิดของเจ้าสํานักผู้วิเศษผันผวนไปมา

ผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็โค้งคํานับพร้อมกับกล่าวคําว่า “ขอรับ”

ไม่นานนัก

ผู้นํานิกายใหญ่ก็ออกจากเมืองฉางอันไปอย่างรวดเร็วและกลับไปที่นิกายของตน

เมื่อผู้นํานิกายจากไป ก็เกิดความโกลาหลในหมู่จอมยุทธต่างแดนจํานวนมากที่เฝ้ามองอยู่ภายในเมืองฉางอัน

ซูฉินสั่งผู้นํานิกายหลายคนได้ในคราวเดียว แต่ผู้นํานิกายกลับไม่กล้าโต้แย้ง พวกเขาทําได้ เพียงตอบรับซ้ําแล้วซ้ําเล่า การที่ใช้พลังอํานาจของบุคคลเพียงคนเดียวกดทับนิกายใหญ่จากดินแดนโพ้นทะเลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้คนตกใจ

ขณะที่จอมยุทธจํานวนมากกําลังพูดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็กลับไปบนหอดูดาวอีกครั้ง

ส่วนเรื่องสมบัติที่ผู้นํานิกายมอบให้ เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่ปฏิเสธ

อย่างอาวุธวิเศษ แม้ซูฉินจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่ก็สามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ส่วนสมบัติอย่างหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าและกิ่งไม้ดินวิเศษ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับธาตุสายฟ้าและธาตุไม้

แม้ซูฉินจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ แต่ในอนาคต ตอนนี้ฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาสําเร็จแล้ว การฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ บางทีอาจจะมีความจําเป็นต้องใช้

ตามการคาดเดาของซูฉิน ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งเป็นภาพแรกในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง ซึ่งก็คืออีกาทองคําสามขา จากนั้น ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกสิบเอ็ดภาพต่อจากนี้ก็ควรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในคุณลักษณะ ด้านอื่นๆ เช่น เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นต้น

การรวบรวมสมบัติเหล่านี้ในตอนนี้ เท่ากับเป็นการปูทางสู่ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แผ่นอื่นๆ ในอนาคต อย่างน้อยก็ไม่เป็นเหมือนตอนนี้ ที่ต้องลงชื่อเข้าใช้เฉพาะหน้าเพื่อรวบรวมสมบัติธาตุไฟในการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หลังจากภาพดวงตะวันฯ จะเป็นตัวอะไร…” ซูฉินนั่งอยู่บนหอดูดาวด้วยใบหน้าที่คาดหวัง

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเพียงอย่างเดียว ก็สร้างความประหลาดใจให้ซูฉินมากพอแล้ว ตัวเขาที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็ทรงพลังมากพอจะเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพี แล้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นๆเล่า?

รู้หรือไม่ว่าพลังของภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามารถซ้อนทับกันได้

ถ้าซูฉินฝึกฝนภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองภาพ เขาจะสามารถใช้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวได้ตามต้องการ และเมื่อซูฉินฝึกฝนภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ครบสิบสองภาพ เขาจะสามารถใช้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองได้ในความคิดเดียว….

สิ่งที่เกิดขึ้นจะน่าตกใจเพียงไร?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]