เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 6

Sign in Buddha’s palm 6 การกบฏของ ‘มารพุทธะ‘

เมื่อซูฉินกลับมาที่ลานจิปาถะก็พบว่าหัวหน้าตำหนักกำลังตะโกนบางสิ่งอยู่

เมื่อเห็นซูฉิน หัวหน้าลานจิปาถะก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

หัวหน้าลานจิปาถะเฝ้ามองดูซูฉินเติบโต แล้วก็รู้ว่าซูฉินได้ทำงานหนักและขยันขันแข็งมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับซูฉินแล้วศิษย์คนอื่นๆ ในตำหนักลานจิปาถะไม่มีความขยันเพียงพอ

ศิษย์พวกนั้นถ้าไม่พยายามลักลอบเรียนวิชายุทธในเส้าหลินก็จะแอบทำตัวขี้เกียจ

มีเพียงซูฉินคนเดียวเท่านั้นตั้งแต่วันแรกจนห้าปีผ่านไป ไม่เคยหย่อนยานแม้แต่น้อย ทุกๆ วันจะไปปรากฏตัวที่มุมต่างๆ ของวัด เฝ้าคอยกวาดพื้น

จะไปหาศิษย์ที่ไร้ความกังวลใดแบบนี้ได้ที่ไหนอีก?

ยิ่งหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะได้เห็นซูฉินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจมากเท่านั้น คิดสงสัยภายในใจว่าตนควรจะมอบหน้าที่สำคัญให้กับเณรรูปนี้ดีหรือไม่?

“เจินกวนกลับมาแล้ว…”

หัวหน้าตำหนักเข้าไปหาซูฉินพร้อมทั้งยิ้มให้

ซูฉินเป็นศิษย์ของรุ่น ‘เจิน‘ เมื่อเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจึงได้รับการขนานนามว่า ‘เจินกวน‘

“ท่านหัวหน้าตำหนัก” ซูฉินเดินไปที่ที่มีเหล่าพระเณรแห่งลานจิปาถะอยู่ แล้วก็หยุดเพียงแค่นั้น

“อืม ในช่วงนี้นั้น เส้าหลินอยู่ในช่วงกฎรักษาความสงบแห่งยุทธภพ พวกท่านทุกคนโปรดรับฟังให้ดี” หัวหน้าตำหนักลานจิปาถะกวาดสายตามองเหล่าพระเณร และกล่าวออกอย่างเคร่งเครียด

“หัวหน้าตำหนัก เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ? ข้าเห็นพวกศิษย์ของตำหนักอื่นๆ ก็เหมือนจะแสดงท่าทางลึกลับแปลกๆ ด้วย…” พระรูปหนึ่งของลานจิปาถะถามอย่างสงสัย

เมื่อมีคนกล่าวถามสิ่งนี้

ดวงตาของศิษย์คนอื่นๆ พลันฉายแววออกมา หูผึ่งขึ้นทันที

หัวหน้าลานจิปาถะลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลออกมา “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเสื่อมเสียของวัดเส้าหลิน หากได้ฟังแล้ว ห้ามนำไปเปิดเผยแก่คนอื่น”

ความจริงแล้วมันก็ใช่จะเป็นความลับอะไร แต่ที่หัวหน้าตำหนักไม่เคยบอกมาก่อนก็เพราะว่าไม่อยากให้เหล่าศิษย์ต้องกระวนกระวายใจจนเสียสมาธิ

แต่ตอนนี้เส้าหลินอยู่ภายใต้กฎรักษาความสงบอีกครั้ง ถ้าหากเขาไม่เปิดเผยออกไปสักนิดหน่อยแล้วศิษย์ในตำหนักเกิดเหตุร้ายขึ้นมาเพราะสิ่งนี้ ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าตำหนัก เขาจะต้องรับผลที่ตามมาเนื่องจากไม่ยอมตอบคำถามเหล่าศิษย์ตั้งแต่แรก

“เก้าร้อยปีก่อน ยามที่วัดเส้าหลินยืนอยู่ในจุดรุ่งโรจน์…มีคนทรยศต่อพวกเรา”

“ถึงแม้ว่าคนทรยศคนนี้จะเป็นศิษย์ของวัดเส้าหลิน เขาละทิ้งต่อศาสนาและอ้างตนว่าเป็น ‘มารพุทธะ‘ เขาต้องการที่จะทำลายล้างวัดเส้าหลินให้สิ้น”

“โชคยังดี ยังมีพระสังฆราชที่สำเร็จขั้นอรหันต์ อยู่ในวัดช่วงเวลานั้น แล้วพระสังฆราชก็ลงมือ เป็นธรรมดาที่มารพุทธะจะถูกสะกดลงอย่างรวดเร็ว”

“แต่หลังจากการสะกด‘มารพุทธะ‘ แล้วนั้น พระสังฆราชก็สิ้นลมหายใจ”

หัวหน้าตำหนักถอนหายใจเมื่อพูดสิ่งนี้ออกไป

ถ้าหากเพียงวัดเส้าหลินยังคงมีบุคคลผู้ทรงพลังในระดับอรหันต์อยู่อีก พวกเขายังจะต้องมาทนหวาดกลัวราวกับวัวขี้ขลาดแบบนี้รึ?

หลังจากที่ศิษย์ได้ฟังคำเหล่านั้น ต่างก็มองหน้ากัน ใบหน้าเหวอ ด้วยระดับของพวกเขาไยจึงจะเข้าใจอะไรอย่างคำว่า ‘มารพุทธะ‘ และ ‘อรหันต์‘ ได้

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่แววตาส่อประกายเคร่งขรึม

ผู้เชี่ยวชาญในยุทธภพแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ระดับชั้นที่หนึ่งแข็งแกร่งที่สุด และระดับชั้นที่เก้าอ่อนแอที่สุด

แค่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สามได้ก็จะกลายเป็นโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วหล้าแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักเองก็อยู่ในระดับชั้นนี้

ขณะที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในระดับชั้นที่สอง

ระดับชั้นที่สองก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แล้ว

ถ้าเป็นระดับชั้นที่หนึ่งจะถูกเรียกว่าเป็น ยอดปรมาจารย์ หากในพรรคมีผู้เยี่ยมยุทธถึงระดับยอดปรมาจารย์แล้วล่ะก็จะถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดพรรค

ในวัดเส้าหลินนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งจะถูกเรียกว่า ‘สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์‘

เหนือเกินกว่าระดับชั้นที่หนึ่งก็คือระดับ ‘อรหันต์‘

คนทั่วไปชอบที่จะเรียกผู้เยี่ยมยุทธนั้นขอบเขตนี้ว่าเป็น ‘เหล่าตำนานยุทธ‘ เสียมากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นสถานะของ อรหันต์ หรือ ตำนานยุทธ ทั้งสองอย่างเป็นการแสดงถึงความสุดขั้วของวิทยายุทธ พวกเขาเหล่านั้นต่างเรียกลมเรียกฝนได้ ทำได้ถึงขนาดบดขยี้เมืองให้ราบได้เพียงใช้แค่ฝ่ามือ

แต่จากที่หัวหน้าตำหนักได้พูดเอาไว้ ดูเหมือนบุคคลนั้นจะมรณภาพไปเพียงไม่นานหลังจากสะกดมารพุทธะ

จดจำไว้ให้ดีว่านั้นคือการ ‘สะกด‘ มิใช่ ‘กำจัด‘

เป็นไปได้ว่า ‘มารพุทธะ‘ จะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับอรหันต์เช่นกัน ดังนั้นพระสังฆราชจึงทำได้เพียงสะกดมันเอาไว้หาใช่กำจัดทิ้งไปไม่

นอกจากนั้นในระหว่าการสะกดครั้งนั้น พระสังฆราชคงจะได้รับผลกระทบหนักไม่น้อยจึงทำให้มรณภาพในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]