Sign in Buddha’s palm 8 มนุษย์นั้นหาใช่ผักปลาไม่
ด้านนอกของลานธรรม
ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดเซียว ท้องน้อยปรากฏรอยฝ่ามือสีดำจางๆ
ฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นนี้ดูเหมือนจะทะลุทะลวงไปถึงด้านใน เจาะถึงไขกระดูก พลังมารชอนไชเข้าไปในร่างราวกับหนอนปรสิต
“เจินซิ่ง เจ้า.. เจ้าทำแบบนี้ได้เยี่ยงไร…” หัวหน้าลานอรหันต์เต็มไปด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มตรงหน้านั่นก็คือศิษย์อัจฉริยะเจินซิ่ง!
แค่ครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง เจินซิ่งแจ้งว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘มารพุทธะ‘ จะต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักทราบ
เป็นในตอนนั้นเองที่เขาลอบโจมตีท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
“ไม่จำเป็นต้องถามอีกต่อไป”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดหายใจเข้าลึก ระงับอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้อย่างยากลำบากแล้วมองไปที่เจินซิ่ง “เจินซิ่ง ความจริงแล้วเจ้าคือทายาทของมารพุทธะในรุ่นนี้สินะ”
แม้เมื่อยามที่สังฆราชผู้สำเร็จถึงขั้นอรหันต์สะกดมารพุทธะไว้ที่ภูเขาด้านหลังเก้าร้อยปีก่อน ทุกๆ ร้อยปีหลังจากนั้นจิตมารจะแหวกม่านคุมขังออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลิน
ไม่ว่าศิษย์คนใดที่ถูกล่อลวง จะอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ และได้รับการเสริมพลังด้วยจิตมาร จนปีนข้ามผ่านขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้ในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ผู้สืบทอดของมารพุทธะทุกคนจะมีความเกลียดชังต่อวัดเส้าหลินอย่างหาที่เปรียบมิได้ และหมายมั่นแน่วแน่ที่จะทำลายวัดเส้าหลินให้สิ้น
เก้าร้อยปีมานี้ มีผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะถึงแปดคนกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน
และเจินซิ่งคือคนที่เก้า
เพื่อจัดการปัญหาผู้สืบทอดของมารพุทธะทั้งแปด วัดเส้าหลินจำต้องสูญเสียอย่าหนัก ร้อยปีที่แล้ว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่แค่สี่รูปถึงกับต้องใช้ทักษะต้องห้ามเพื่อกำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะ
ผลลัพธ์ก็คือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทยอยมรณภาพไปทีละรูป จนเมื่อหกสิบปีที่แล้วรูปสุดท้ายก็จากไประหว่างที่บำเพ็ญตบะ และก็ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นอีกเลยในวัดเส้าหลินแห่งนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“ถูกต้อง ข้าคือทายาทของมารพุทธะ!”
เจินซิ่งไม่ใส่ใจจะปฏิเสธเลยและยอมรับออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ
ผู้สืบทอดของมารพุทธะ…
แม้ว่าจะเดาได้อยู่แต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเข้าจริงๆ ความรู้สึกของเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเอามากๆ
สำหรับวัดเส้าหลินแล้วนั้น ผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะเป็นดั่งคำสาปที่จะมาในทุกหนึ่งร้อยปี เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เส้าหลินตกต่ำลงทุกวี่วัน
ไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่สถานที่ที่มีเบื้องหลังเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างเส้าหลินจะไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์
“เจินซิ่ง เจ้ากล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง วัดเส้าหลินก็ไม่ได้เลวร้ายกับเจ้า รับเจ้าเป็นศิษย์ สอนทักษะวิชาให้ แต่เจ้า…”
หัวหน้าลานอรหันต์จ้องที่เจินซิ่งอย่างเดือดพล่านราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา
ตั้งแต่ที่เจินซิ่งเข้ามาในเส้าหลินเป็นเวลาสิบปี หัวหน้าตำหนักอรหันต์ฝึกอบรมเขาด้วยตนเอง และเฝ้าดูแลเขาเหมือนกับหลานชายและยังตระเตรียมจะให้เจินซิ่งขึ้นมานั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ในอนาคต
ใครจะไปกล้าคิดฝันว่าเจินซิ่งกล้าที่จะทรยศแบบนี้
“อย่างดีงั้นน่ะหรือ?!”
เมื่อเจินซิ่งได้ยินสิ่งนั้น ใบหน้าเขาแสดงออกรุนแรงถึงการถากถาง “ทั้งครอบครัวของข้าถูกฆ่าสังหาร แล้ววัดเส้าหลินได้ทำอะไรหรือยัง?”
“ก็จริงที่ศิษย์พี่ปลอบข้า หัวหน้าตำหนักปลอบข้า เจ้าอาวาสปลอบข้า แต่พวกแกรู้บ้างไหม ว่าสิ่งที่ข้าต้องการน่ะไม่ใช่การปลอบโยนบัดซบอะไรนั่น!”
ทุกๆ คำที่เจินซิ่งเอ่ยออก พลังมารรอบตัวของเขาค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นทีละนิด
“วัดเส้าหลิน ด้วยชื่อสุดยอดพรรค ทำได้แค่ปลอบโยนผู้คน นี่คือความชอบธรรมอย่างนั้นหรือ?”
เจตนาฆ่าฟันพวยพุ่งออกมาจากในทุกๆ คำของเจินซิ่ง “ความเมตตากรุณาจอมปลอม ความชอบธรรมจอมปลอม เส้าหลินน่ะสมควรถูกกวาดล้างออกไปจากยุทธภพ!”
เมื่อสิ้นเสียงลง พลังมารกลับเริ่มแผ่ขยายกว้างออก
ทันใดนั้นเอง ร่างยูไลจางๆ ครึ่งหนึ่งสีทองครึ่งหนึ่งสีดำโผล่ออกมาจากด้านหลังของเจินซิ่ง
“แค่ปลอบโยนเท่านั้นน่ะหรือ?”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธเกรี้ยว “รู้หรือไม่ว่าเพื่อการแก้แค้นให้กับเจ้าแล้วนั้น ศิษย์พี่นั้นไม่ลังเลเลยที่จะผิดศีล ลงจากภูเขาไปอย่างลับๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามล่าฆาตกรผู้นั้น”
“เอาล่ะ พอเถอะ”
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำให้มากไปกว่านี้แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]