เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 8

สรุปบท ตอนที่ 8: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนที่ 8 – ตอนที่ต้องอ่านของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนนี้ของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 8 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

Sign in Buddha’s palm 8 มนุษย์นั้นหาใช่ผักปลาไม่

ด้านนอกของลานธรรม

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดเซียว ท้องน้อยปรากฏรอยฝ่ามือสีดำจางๆ

ฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นนี้ดูเหมือนจะทะลุทะลวงไปถึงด้านใน เจาะถึงไขกระดูก พลังมารชอนไชเข้าไปในร่างราวกับหนอนปรสิต

“เจินซิ่ง เจ้า.. เจ้าทำแบบนี้ได้เยี่ยงไร…” หัวหน้าลานอรหันต์เต็มไปด้วยความโกรธ

ชายหนุ่มตรงหน้านั่นก็คือศิษย์อัจฉริยะเจินซิ่ง!

แค่ครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง เจินซิ่งแจ้งว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘มารพุทธะ‘ จะต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักทราบ

เป็นในตอนนั้นเองที่เขาลอบโจมตีท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

“ไม่จำเป็นต้องถามอีกต่อไป”

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดหายใจเข้าลึก ระงับอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้อย่างยากลำบากแล้วมองไปที่เจินซิ่ง “เจินซิ่ง ความจริงแล้วเจ้าคือทายาทของมารพุทธะในรุ่นนี้สินะ”

แม้เมื่อยามที่สังฆราชผู้สำเร็จถึงขั้นอรหันต์สะกดมารพุทธะไว้ที่ภูเขาด้านหลังเก้าร้อยปีก่อน ทุกๆ ร้อยปีหลังจากนั้นจิตมารจะแหวกม่านคุมขังออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลิน

ไม่ว่าศิษย์คนใดที่ถูกล่อลวง จะอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ และได้รับการเสริมพลังด้วยจิตมาร จนปีนข้ามผ่านขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้ในเวลาอันสั้น

นอกจากนี้ผู้สืบทอดของมารพุทธะทุกคนจะมีความเกลียดชังต่อวัดเส้าหลินอย่างหาที่เปรียบมิได้ และหมายมั่นแน่วแน่ที่จะทำลายวัดเส้าหลินให้สิ้น

เก้าร้อยปีมานี้ มีผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะถึงแปดคนกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน

และเจินซิ่งคือคนที่เก้า

เพื่อจัดการปัญหาผู้สืบทอดของมารพุทธะทั้งแปด วัดเส้าหลินจำต้องสูญเสียอย่าหนัก ร้อยปีที่แล้ว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่แค่สี่รูปถึงกับต้องใช้ทักษะต้องห้ามเพื่อกำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะ

ผลลัพธ์ก็คือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทยอยมรณภาพไปทีละรูป จนเมื่อหกสิบปีที่แล้วรูปสุดท้ายก็จากไประหว่างที่บำเพ็ญตบะ และก็ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นอีกเลยในวัดเส้าหลินแห่งนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“ถูกต้อง ข้าคือทายาทของมารพุทธะ!”

เจินซิ่งไม่ใส่ใจจะปฏิเสธเลยและยอมรับออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ

ผู้สืบทอดของมารพุทธะ…

แม้ว่าจะเดาได้อยู่แต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเข้าจริงๆ ความรู้สึกของเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเอามากๆ

สำหรับวัดเส้าหลินแล้วนั้น ผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะเป็นดั่งคำสาปที่จะมาในทุกหนึ่งร้อยปี เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เส้าหลินตกต่ำลงทุกวี่วัน

ไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่สถานที่ที่มีเบื้องหลังเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างเส้าหลินจะไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

“เจินซิ่ง เจ้ากล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง วัดเส้าหลินก็ไม่ได้เลวร้ายกับเจ้า รับเจ้าเป็นศิษย์ สอนทักษะวิชาให้ แต่เจ้า…”

หัวหน้าลานอรหันต์จ้องที่เจินซิ่งอย่างเดือดพล่านราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา

ตั้งแต่ที่เจินซิ่งเข้ามาในเส้าหลินเป็นเวลาสิบปี หัวหน้าตำหนักอรหันต์ฝึกอบรมเขาด้วยตนเอง และเฝ้าดูแลเขาเหมือนกับหลานชายและยังตระเตรียมจะให้เจินซิ่งขึ้นมานั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ในอนาคต

ใครจะไปกล้าคิดฝันว่าเจินซิ่งกล้าที่จะทรยศแบบนี้

“อย่างดีงั้นน่ะหรือ?!”

เมื่อเจินซิ่งได้ยินสิ่งนั้น ใบหน้าเขาแสดงออกรุนแรงถึงการถากถาง “ทั้งครอบครัวของข้าถูกฆ่าสังหาร แล้ววัดเส้าหลินได้ทำอะไรหรือยัง?”

“ก็จริงที่ศิษย์พี่ปลอบข้า หัวหน้าตำหนักปลอบข้า เจ้าอาวาสปลอบข้า แต่พวกแกรู้บ้างไหม ว่าสิ่งที่ข้าต้องการน่ะไม่ใช่การปลอบโยนบัดซบอะไรนั่น!”

ทุกๆ คำที่เจินซิ่งเอ่ยออก พลังมารรอบตัวของเขาค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นทีละนิด

“วัดเส้าหลิน ด้วยชื่อสุดยอดพรรค ทำได้แค่ปลอบโยนผู้คน นี่คือความชอบธรรมอย่างนั้นหรือ?”

เจตนาฆ่าฟันพวยพุ่งออกมาจากในทุกๆ คำของเจินซิ่ง “ความเมตตากรุณาจอมปลอม ความชอบธรรมจอมปลอม เส้าหลินน่ะสมควรถูกกวาดล้างออกไปจากยุทธภพ!”

เมื่อสิ้นเสียงลง พลังมารกลับเริ่มแผ่ขยายกว้างออก

ทันใดนั้นเอง ร่างยูไลจางๆ ครึ่งหนึ่งสีทองครึ่งหนึ่งสีดำโผล่ออกมาจากด้านหลังของเจินซิ่ง

“แค่ปลอบโยนเท่านั้นน่ะหรือ?”

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธเกรี้ยว “รู้หรือไม่ว่าเพื่อการแก้แค้นให้กับเจ้าแล้วนั้น ศิษย์พี่นั้นไม่ลังเลเลยที่จะผิดศีล ลงจากภูเขาไปอย่างลับๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามล่าฆาตกรผู้นั้น”

“เอาล่ะ พอเถอะ”

“ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำให้มากไปกว่านี้แล้ว”

“แต่น่าเศร้าใจจริงๆ นะ ที่ไม่มีแม้สักคนเดียว”

“และในเมื่อไม่มีแม้สักคน ก็จงตายเสีย!”

เมื่อสิ้นคำพูดของเจินซิ่ง

แสงโดยรอบก็หม่นหมองลง ความมืดเข้าปกคลุมเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักอย่างรวดเร็ว

หมอกมัวสีดำกระจายล้อมทุกทิศทาง ในหมอกสีดำมีพลังประหลาด ราวกับมีผู้คนกระซิบกระซาบกันอยู่เต็มไปหมด แทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณ

ยกเว้นไว้เพียงแต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่พยายามคงสติอย่างเต็มที่ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ถูกกลืนกินอย่างช้าๆ

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดเซียวราวกับกระดาษ แสงสีทองจางๆ ส่องออกมาจากร่าง เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ฝืนทนได้ในที่แห่งนี้

กระนั้น เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าความแข็งแกร่งที่มีค่อยๆ ลดลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และเขาจะพ่ายแพ้ลงในเวลาเพียงเสี้ยวชั่วโมงเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาไม่สามารถทนได้ต่อไป ทั้งวัดเส้าหลินคงถูกทำลายลงจริงๆ

“นี่มันเป็นไปได้หรือนี่ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัดเส้าหลินจะต้องมาจบสิ้นลงในครานี้?”

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินดูเศร้าสร้อยและหมดสิ้นความหวัง

วัดเส้าหลินยืนหยัดในยุทธภพด้วยชื่อสุดยอดพรรค มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปี เผชิญคลื่นลมมานับไม่ถ้วน จะมาสิ้นสุดที่จุดนี้งั้นหรอ?

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ยินยอมเด็ดขาด

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังคิดที่จะระเบิดตนเอง ถึงแม้จะไม่สามารถลากมารร้ายให้ตายไปกับตนเองได้ อย่างน้อยก็คงทำร้ายทายาทของมารพุทธะจนสาหัสได้อยู่เหมือนกัน

ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์

ใบไม้ร่วงหล่นลงมาเรื่อยๆ

ซูฉินหยุดกวาดพื้น ยกมือขวาเอื้อมไปคีบจับใบไม้ที่ร่วงลงมาอย่างเบามือ

“ชีวิตมนุษย์นั้นหาใช่เป็นเพียงแค่เศษใบไม้ไม่…”

ดวงตาของซูฉินเหม่อลอย ถอนลมหายใจออกก่อนสะบัดนิ้วไป ใบไม้ที่เคยอยู่ระหว่างนิ้วของเขาลอยตัดผ่านอากาศไปในพริบตา พุ่งหายไปในทิศทางของลานธรรม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]