จวบจนเวลาใกล้เที่ยง เหยาเสินกลับโทรมาหาเซียวชุ่นให้ตามมาที่หอตี้หวาง
“ไหนบอกว่าผมไม่ต้องไปไง?” เซียวชุ่นไม่เข้าใจ
“บอกให้นายมาก็มา จะพูดมากทำไม?” เหยาเสินที่อยู่ปลายสายพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หลิวหยุนเซียงไม่ได้กะจะให้เซียวชุ่นไปจริงๆ สาเหตุนั้นชัดเจนมาก เพราะกลัวขายหน้า
แต่เพราะครอบครัวของหลิวหยุนห่ายลุงของเหยาเสินบอกว่าอยากจะเจอเซียวชุ่น ก็จึงเป็นที่มาของโทรศัพท์สายนี้
เซียวชุ่นรับคำ เขาไม่เห็นแก่หน้าหลิวหยุนห่ายก็ได้ แต่เขาไม่อยากจะให้เหยาเสินต้องมาลำบากใจ
เซียวชุ่นแต่งตัวใหม่เล็กน้อยก็รีบออกจากบ้านไป โบกรถคันหนึ่งแล้วเดินทางไปยังหอตี้หวาง
หอตี้หวาง แค่ชื่อชื่อนี้ก็มีไว้เพื่อเตือนให้บุคคลชนชั้นแรงงานนั้นล่าถอย ในฐานะร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในเมืองเจียงไห่ ไม่ใช่แค่ค่าบริการเท่านั้นที่ทำเอาคนถึงกับต้องอ้าปากค้าง
คนที่จะเข้าออกที่นี่ได้ต้องเป็นบุคคลชนชั้นสูงของเมืองเจียงไห่ ฐานะร่ำรวยและเป็นที่นับหน้าถือตา แน่นอนว่ามันก็กลายเป็นสถานที่ที่มีไว้สำหรับแสดงสถานะด้วยเช่นกัน
หลิวหยุนห่ายลุงของเหยาเสินก็ต้องใช้เส้นสายถึงจองห้องรับรองส่วนตัวนี้ได้
เลือกสถานที่นี้เพื่อจัดเลี้ยง จุดประสงค์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว—— อวดร่ำอวดรวย
หลังจากที่เซียวชุ่นมาถึงที่หอตี้หวาง แจ้งหมายเลขห้องรับรองส่วนตัว ท่าทีของพนักงานต้อนรับดูแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่ได้แต่งตัวแบบเป็นทางการ ใส่ชุดปรกติทั่วๆไปเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงยีนที่สีซีดแบบสุดๆ เข้าคู่ด้วยรองเท้าผ้าใบ ช่างไม่เข้ากับสถานที่นี้เอาซะเลยจริงๆ
กิริยาของพนักงานต้อนรับก็ถือว่าไม่เลวเลย ไม่ได้แสดงออกถึงการดูถูกเหยียดหยามกับการที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้มา
ในตอนที่เข้ามาในห้องรับรอง ครอบครัวของลุงเหยาเสินยังมาไม่ถึง
ภายในห้องขนาดใหญ่มีโต๊ะทรงกลมใหญ่ๆสองโต๊ะ คิดว่านอกจากครอบครัวของเหยาเสินแล้วน่าจะยังมีแขกคนอื่นอีก
เมื่อหลิวหยุนเซียงเห็นการแต่งตัวของเขา ทันใดนั้นก็หน้าหงิกหน้างอ ใบหน้าบูดบึ้งพูดด่าทอว่า“เซียวชุ่น นี่แกตั้งใจใช่ไหม ? แกใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาให้ใครดูกัน ? ทำราวกับบ้านเราทารุณแกยังไงอย่างงั้น นี่แกจงใจจะมาฉีกหน้าพวกเราใช่ไหม?”
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของหลิวหยุนเซียงหน้าดำหน้าแดง หากไม่ใช่เพราะครอบครัวของน้องชายบอกว่าอยากจะเจอกับไอ้สวะนี่ เธอคงแทบทนรอไม่ไหวที่อยากจะไล่เขาออกไปให้พ้นๆ
ใบหน้าเหยาเสินแน่นิ่ง สายตาที่มองเขาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก
เซียวชุ่นพูดเสียงเบา “ผมไม่ได้อยากจะมาสักหน่อย หากคุณไม่อยากเห็นผม ผมไปตอนนี้เลยก็ได้”
หลิวหยุนเซียงหงุดหงิดอย่างมาก“นี่แก…… ไอ้สวะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเลยนะ……”
“พอแล้ว พอได้แล้ว จะพูดอะไรมากมาย เดี๋ยวคนอื่นเขาก็หัวเราะเยาะเอาหรอก”เหยาเจี้ยนกั๋วพูดไกล่เกลี่ย“เซียวชุ่น นั่งลงเถอะ อีกเดี๋ยวก็พูดให้มันน้อยๆหน่อยแล้วกัน”
เซียวชุ่นหน้าบานทำราวกับวัตถุโปร่งแสง เดินไปนั่งลงข้างๆเหยาเสินราวกับไม่มีอะไร
เหยาเสินเองก็ขยับหนีออกไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว
เซียวชุ่นก็ไม่ได้สนใจ เขาคิดแค่ตัวเองมาที่นี่เพื่อกินข้าวเท่านั้น
วงศาคณาญาติ ก็เป็นเหมือนสังคมเล็กๆ และยังเป็นสังคมที่รวมเอาความอัปยศและการชิงดีชิงเด่นมาเปรียบเทียบกัน มักจะก่อเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง อาทิเช่นในตอนนี้
เหยาเสินก็เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน การมีอยู่ของเซียวชุ่นอาจเป็นจุดด่างพร้อยที่ลบไม่ออกของเหยาเสินไปอีกยี่สิบปี หรืออาจจะเป็นมลทินไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้
แม้ว่าญาติๆทุกคนจะรู้ถึงการมีอยู่ของเซียวชุ่น แต่จะเอาจุดด่างพร้อยนี้ของตัวเองมาโชว์หราต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง เธอก็ยังคงรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจอยู่
เวลาผ่านไป แขกเหรื่อต่างก็ทยอยกันมานั่งลง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นญาติจากตระกูลหลิว หรือจะพูดว่าเป็นญาติฝั่งบ้านหลิวหยุนเซียงก็ว่าได้ และทุกคนต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ญาติเหล่านั้นเมื่อเห็นเซียวชุ่นก็แสดงท่าทีรังเกียจและดูถูก
เซียวชุ่นก็ขี้เกียจจะสนใจ ทุกปีของเทศกาลตรุษจีนก็มักจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่ตลอด จนชินชาไปตั้งนานแล้ว
“พวกเราก็มากันครบแล้ว ทำไมเจ้าภาพยังมาไม่ถึงอีก นี่ไม่ถูกต้องนะเนี่ย ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...