เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊ นิยาย บท 20

สรุปบท บทที่ 20 ความกลัดกลุ้มของเหยาเจี้ยนกั๋ว: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊

บทที่ 20 ความกลัดกลุ้มของเหยาเจี้ยนกั๋ว – ตอนที่ต้องอ่านของ เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊

ตอนนี้ของ เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊ โดย ลุงหมาป่า ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 20 ความกลัดกลุ้มของเหยาเจี้ยนกั๋ว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เหยาเจี้ยนกั๋วเป็นคนเงียบขรึมมาตลอด ในตอนนี้ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน“พอแล้ว พอได้แล้ว หยุดเถียงกันสักที เหยาเสิน ไปกันเถอะ ส่งพ่อที่มหาลัยก่อนนะ”

เมื่อหลิวหยุนเซียงเห็นว่าไม่มีใครเข้าข้างเธอ ก็รีบใช้จุดแข็งของการเป็นแม่บ้านในทันที พูดอย่างไร้เหตุผลว่า

“ดี ไม่มีใครฟังฉันแล้ว ฉันมันตาบอดเองที่แต่งเข้ามาตระกูลเหยา ลูกสาวแต่งงานกับคนไม่ได้เรื่อง เหยาเจี้ยนกั๋ว คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้สวะนั้นหรอกนะ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของคุณเป็นมากี่ปีแล้ว ? การประเมินศาสตราจารย์ประจำปีคุณก็ไม่มีเอี่ยวด้วยเลย ไหนว่ามาสิผู้ชายตระกูลเหยามีดีอะไรกัน ?”

เหยาเจี้ยนกั๋วอยู่ดีๆก็โดนหางเลขไปด้วย แต่คำพูดนี้ก็เสียดแทงความรู้สึกของเขาไม่น้อยเหมือนกัน

เขาในตอนนี้ทำงานที่มหาวิทยาลัยตงหลินภาควิชาเคมี ตำแหน่งรองศาสตราจารย์

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นเขาแทบไม่รู้เรื่องเลย และไม่มีความสนใจใดๆ ดังนั้นหลังจากที่เขารับช่วงธุรกิจต่อจากครอบครัว ก็ได้ยกมอบธุรกิจเหล่านั้นให้กับเหยาเสินเป็นคนดูแลจัดการ ตัวเองอยากจะเอาเวลาไปศึกษาหาวิชาความรู้เสียมากกว่า

เพียงแต่ว่าเขาดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์นี้มาแล้วกว่าหลายสิบปี และไม่เคยได้รับการประเมินให้เป็นศาสตราจารย์เลย

เหตุผลสำคัญประการหนึ่งนั้นคือเขาเข้าสังคมกับคนไม่เก่ง

มหาวิทยาลัยตงหลินเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ มหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ในการประเมินตำแหน่งศาสตราจารย์ ขอแค่ผ่านด่านนักศึกษาไปได้ โดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าได้ตอกตะปูไว้บนกระดานแล้ว

แต่แล้วทุกครั้งเขาก็จะพลาดในด่านสุดท้าย การประเมินของคณะกรรมการวิชาการ

แม้ว่าคนอย่างเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา แต่เขาสนใจในเรื่องของชื่อเสียง เอาคำว่า“รอง”ในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของเขาออกนั้นคือความปรารถนาของเขา

ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องมาประเมินกันอีกครั้ง และเขาก็กำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

หลิวหยุนเซียงวางอำนาจในบ้านจนเคยตัว เหยาเจี้ยนกั๋วเองก็รู้ดีว่าหากตัวเองยังจะพูดต่อก็คงจะไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นก็จึงปิดปากเงียบ

เหยาเสินสตาร์ทรถ และขับไปยังมหาวิทยาลัยตงหลิน

หลิวหยุนเซียงก็ยังคงพูดพล่ามไม่หยุดอยู่อีกสักพัก ไม่มีใครคุยด้วย เธอก็จึงค่อยๆเงียบไป

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มาถึงที่ประตูฝั่งตะวันออกของมหาวิทยาลัยตงหลิน เซียวชุ่นลงรถมาพร้อมกับเหยาเจี้ยนกั๋วด้วย

ตอนบ่ายเหยาเสินต้องเข้าไปที่บริษัท หากกลับบ้านไปเขาต้องเผชิญหน้ากับแม่ยายที่น่าขยะแขยงเพียงลำพังสองคน ดังนั้นก็จึงขอตัวหลบอยู่นอกบ้านเพื่อหาความสงบสุขจะดีกว่า

ในอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จสิ้นแล้วเซวเฉิงก็เดินทางไปโรงพยาบาลทันที ทำการตรวจร่างกายแบบเต็มรูปแบบ

ฤดูใบไม้ร่วงสีทองของเดือนกันยายน อากาศสดชื่นและเย็นสบาย

ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยตงหลินก็เพิ่งจะเปิดเทอม

เซียวชุ่นไม่ได้ตามเหยาเจี้ยนกั๋วเข้าไปในมหาวิทยาลัยด้วย แต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วมองดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเหล่านักเรียนนักศึกษา และขายาวๆของสาวๆในมหาลัย

เขาหันหลังและกำลังจะเดินจากไปตรงหน้าก็มีคนสามคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่ดูมีอายุเล็กน้อยและดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก

ไม่รอให้เซียวชุ่นได้นึกว่าเคยเจอคนคนนี้ที่ไหน คนคนนั้นก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ยิ้มแก้มปริ พูดอย่างเคารพนบนอบ“ปรมาจารย์เซียว ? คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เมื่อได้ยินเสียงเซียวชุ่นก็จำได้ คนคนนี้คือคนเมื่อคืนที่จะขอเป็นลูกศิษย์ของเขาโจวชูชิง เพราะเมื่อคืนเขาใส่ชุดผ่าตัด บนศีรษะมีหมวดผ่าตัดคลุมอยู่ ถึงว่าดูคุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน

“อ้อ พ่อตาผมสอนหนังสืออยู่ที่นี่ครับ ”

เซียวชุ่นกล่าว จะบอกว่ามาดูขายาวๆของนักศึกษาได้ยังไงกัน มันจะดูน่าเกลียด และเสื่อมเสียภาพลักษณ์อันสูงส่งของตัวเองที่อยู่ในใจของเขา

“พ่อตาของคุณ ? ชื่ออะไร ? เมื่อก่อนผมก็ทำงานที่วิทยาลัยแพทย์ที่นี่ ไม่แน่อาจจะรู้จัก ”

โจวชูชิงพูดอย่างตื่นเต้น หากเป็นคนรู้จักการฝากตัวเป็นศิษย์ของตัวเองก็จะมีความหวังไปด้วย

“เหยาเจี้ยนกั๋ว”เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เซียวชุ่นพูดไปตามความจริง

คนที่มาต้อนรับพวกเขาคือชายชราผมหงอก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ชายชราคนนี้สวมเสื้อนวมกันหนาวขนสัตว์ ท่อนล่างก็เทอะทะเหมือนกัน ห่อตัวเองจนเหมือนขนมปังก้อนหนึ่ง

“ชูชิงเหรอ มานั่งลงเร็ว ต้องรบกวนเราอีกแล้ว”ชายชราพูดอย่างใจดี

“อาจารย์ ดูพูดเข้า มันเป็นเรื่องสมควรครับ” โจวชูชิงกล่าว

“คนนี้คือ……?”ชายชราสังเกตเห็นเซียวชุ่น จึงเอ่ยถาม

“อ๋อ นี่คือปรมาจารย์เซียวที่ผมเพิ่งรู้จักครับ ชำนาญเรื่องการฝังเข็มเป็นอย่างมาก ไม่แน่เขาอาจจะรักษาอาการภาวะตัวเย็นของคุณได้”

จากนั้นโจวชูชิงก็หันมาแนะนำกับเซียวชุ่น “ปรมาจารย์เซียว คนนี้คืออาจารย์ของผม หวางโป๋ซง นายท่านหวาง และเป็นอธิการบดีผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยตงหลินด้วย”

สายตาที่พร่ามัวของหวางโป๋ซงจ้องมองสำรวจเซียวชุ่น ส่ายหัวและพูดอย่างลังเลว่า“ โรคนี้เรายังรักษาไม่ได้ พ่อหนุ่มคนนี้……”

ลูกศิษย์ของเขาคนนี้เป็นคนที่ตั้งใจและจริงจังมาโดยตลอด มาวันนี้เอ่ยปากเรียกเด็กน้อยคนหนึ่งว่าปรมาจารย์ ทำเอาคนเป็นอาจารย์อย่างเขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย

ท่าทีของโจวชูชิงซับซ้อนเล็กน้อย

อาการภาวะตัวเย็นของหวางโป๋ซงเป็นโรคที่เขาป่วยมาตั้งแต่เด็กสมัยอยู่ชนบท เมื่อเติบโตขึ้น อาการก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่กำเริบ ร่างกายก็ราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง แม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆถึงจะเอาอยู่ แพทย์แผนปัจจุบันตรวจหาสาเหตุของโรคไม่เจอ จึงทำการผ่าตัดรักษาไม่ได้ แพทย์แผนจีนเองก็ทำได้แค่ช่วยบรรเทาอาการให้เท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

“อาการป่วยของนายท่านผมสามารถรักษาได้ และรักษาให้หายขาดด้วย ”เซียวชุ่นพูดเสียงเรียบ

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ชายใส่แว่นคนเมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาทันที “นี่พ่อหนุ่ม อย่าพูดจาเหลวไหล อาการป่วยของพ่อฉันขนาดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนในเมืองหลวงก็ยังแค่ช่วยบรรเทาได้เท่านั้น นี่นาย ? ฉันว่าช่างมันเถอะ ”

ชายคนใส่แว่นคือลูกชายของหวางโป๋ซง หวางเหวินเหย้า

โจวชูชิงนั้นเคยเห็นวิธีการรักษาของเซียวชุ่นมาแล้ว ด้วยความรู้เกี่ยวกับการฝังเข็มที่เขามี วิชาแพทย์ของเซียวชุ่นนั้นเขาเชื่อถือมันอย่างเต็มร้อย “อาจารย์ครับ ผมคิดว่าควรให้ปรมาจารย์เซียวเขาลองดูนะครับ……”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊