เหยาเจี้ยนกั๋วเป็นคนเงียบขรึมมาตลอด ในตอนนี้ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน“พอแล้ว พอได้แล้ว หยุดเถียงกันสักที เหยาเสิน ไปกันเถอะ ส่งพ่อที่มหาลัยก่อนนะ”
เมื่อหลิวหยุนเซียงเห็นว่าไม่มีใครเข้าข้างเธอ ก็รีบใช้จุดแข็งของการเป็นแม่บ้านในทันที พูดอย่างไร้เหตุผลว่า
“ดี ไม่มีใครฟังฉันแล้ว ฉันมันตาบอดเองที่แต่งเข้ามาตระกูลเหยา ลูกสาวแต่งงานกับคนไม่ได้เรื่อง เหยาเจี้ยนกั๋ว คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้สวะนั้นหรอกนะ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของคุณเป็นมากี่ปีแล้ว ? การประเมินศาสตราจารย์ประจำปีคุณก็ไม่มีเอี่ยวด้วยเลย ไหนว่ามาสิผู้ชายตระกูลเหยามีดีอะไรกัน ?”
เหยาเจี้ยนกั๋วอยู่ดีๆก็โดนหางเลขไปด้วย แต่คำพูดนี้ก็เสียดแทงความรู้สึกของเขาไม่น้อยเหมือนกัน
เขาในตอนนี้ทำงานที่มหาวิทยาลัยตงหลินภาควิชาเคมี ตำแหน่งรองศาสตราจารย์
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นเขาแทบไม่รู้เรื่องเลย และไม่มีความสนใจใดๆ ดังนั้นหลังจากที่เขารับช่วงธุรกิจต่อจากครอบครัว ก็ได้ยกมอบธุรกิจเหล่านั้นให้กับเหยาเสินเป็นคนดูแลจัดการ ตัวเองอยากจะเอาเวลาไปศึกษาหาวิชาความรู้เสียมากกว่า
เพียงแต่ว่าเขาดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์นี้มาแล้วกว่าหลายสิบปี และไม่เคยได้รับการประเมินให้เป็นศาสตราจารย์เลย
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งนั้นคือเขาเข้าสังคมกับคนไม่เก่ง
มหาวิทยาลัยตงหลินเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ มหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ในการประเมินตำแหน่งศาสตราจารย์ ขอแค่ผ่านด่านนักศึกษาไปได้ โดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าได้ตอกตะปูไว้บนกระดานแล้ว
แต่แล้วทุกครั้งเขาก็จะพลาดในด่านสุดท้าย การประเมินของคณะกรรมการวิชาการ
แม้ว่าคนอย่างเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา แต่เขาสนใจในเรื่องของชื่อเสียง เอาคำว่า“รอง”ในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของเขาออกนั้นคือความปรารถนาของเขา
ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องมาประเมินกันอีกครั้ง และเขาก็กำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หลิวหยุนเซียงวางอำนาจในบ้านจนเคยตัว เหยาเจี้ยนกั๋วเองก็รู้ดีว่าหากตัวเองยังจะพูดต่อก็คงจะไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นก็จึงปิดปากเงียบ
เหยาเสินสตาร์ทรถ และขับไปยังมหาวิทยาลัยตงหลิน
หลิวหยุนเซียงก็ยังคงพูดพล่ามไม่หยุดอยู่อีกสักพัก ไม่มีใครคุยด้วย เธอก็จึงค่อยๆเงียบไป
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มาถึงที่ประตูฝั่งตะวันออกของมหาวิทยาลัยตงหลิน เซียวชุ่นลงรถมาพร้อมกับเหยาเจี้ยนกั๋วด้วย
ตอนบ่ายเหยาเสินต้องเข้าไปที่บริษัท หากกลับบ้านไปเขาต้องเผชิญหน้ากับแม่ยายที่น่าขยะแขยงเพียงลำพังสองคน ดังนั้นก็จึงขอตัวหลบอยู่นอกบ้านเพื่อหาความสงบสุขจะดีกว่า
ในอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จสิ้นแล้วเซวเฉิงก็เดินทางไปโรงพยาบาลทันที ทำการตรวจร่างกายแบบเต็มรูปแบบ
ฤดูใบไม้ร่วงสีทองของเดือนกันยายน อากาศสดชื่นและเย็นสบาย
ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยตงหลินก็เพิ่งจะเปิดเทอม
เซียวชุ่นไม่ได้ตามเหยาเจี้ยนกั๋วเข้าไปในมหาวิทยาลัยด้วย แต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วมองดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเหล่านักเรียนนักศึกษา และขายาวๆของสาวๆในมหาลัย
เขาหันหลังและกำลังจะเดินจากไปตรงหน้าก็มีคนสามคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่ดูมีอายุเล็กน้อยและดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก
ไม่รอให้เซียวชุ่นได้นึกว่าเคยเจอคนคนนี้ที่ไหน คนคนนั้นก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ยิ้มแก้มปริ พูดอย่างเคารพนบนอบ“ปรมาจารย์เซียว ? คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเสียงเซียวชุ่นก็จำได้ คนคนนี้คือคนเมื่อคืนที่จะขอเป็นลูกศิษย์ของเขาโจวชูชิง เพราะเมื่อคืนเขาใส่ชุดผ่าตัด บนศีรษะมีหมวดผ่าตัดคลุมอยู่ ถึงว่าดูคุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน
“อ้อ พ่อตาผมสอนหนังสืออยู่ที่นี่ครับ ”
เซียวชุ่นกล่าว จะบอกว่ามาดูขายาวๆของนักศึกษาได้ยังไงกัน มันจะดูน่าเกลียด และเสื่อมเสียภาพลักษณ์อันสูงส่งของตัวเองที่อยู่ในใจของเขา
“พ่อตาของคุณ ? ชื่ออะไร ? เมื่อก่อนผมก็ทำงานที่วิทยาลัยแพทย์ที่นี่ ไม่แน่อาจจะรู้จัก ”
โจวชูชิงพูดอย่างตื่นเต้น หากเป็นคนรู้จักการฝากตัวเป็นศิษย์ของตัวเองก็จะมีความหวังไปด้วย
“เหยาเจี้ยนกั๋ว”เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เซียวชุ่นพูดไปตามความจริง
คนที่มาต้อนรับพวกเขาคือชายชราผมหงอก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ชายชราคนนี้สวมเสื้อนวมกันหนาวขนสัตว์ ท่อนล่างก็เทอะทะเหมือนกัน ห่อตัวเองจนเหมือนขนมปังก้อนหนึ่ง
“ชูชิงเหรอ มานั่งลงเร็ว ต้องรบกวนเราอีกแล้ว”ชายชราพูดอย่างใจดี
“อาจารย์ ดูพูดเข้า มันเป็นเรื่องสมควรครับ” โจวชูชิงกล่าว
“คนนี้คือ……?”ชายชราสังเกตเห็นเซียวชุ่น จึงเอ่ยถาม
“อ๋อ นี่คือปรมาจารย์เซียวที่ผมเพิ่งรู้จักครับ ชำนาญเรื่องการฝังเข็มเป็นอย่างมาก ไม่แน่เขาอาจจะรักษาอาการภาวะตัวเย็นของคุณได้”
จากนั้นโจวชูชิงก็หันมาแนะนำกับเซียวชุ่น “ปรมาจารย์เซียว คนนี้คืออาจารย์ของผม หวางโป๋ซง นายท่านหวาง และเป็นอธิการบดีผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยตงหลินด้วย”
สายตาที่พร่ามัวของหวางโป๋ซงจ้องมองสำรวจเซียวชุ่น ส่ายหัวและพูดอย่างลังเลว่า“ โรคนี้เรายังรักษาไม่ได้ พ่อหนุ่มคนนี้……”
ลูกศิษย์ของเขาคนนี้เป็นคนที่ตั้งใจและจริงจังมาโดยตลอด มาวันนี้เอ่ยปากเรียกเด็กน้อยคนหนึ่งว่าปรมาจารย์ ทำเอาคนเป็นอาจารย์อย่างเขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย
ท่าทีของโจวชูชิงซับซ้อนเล็กน้อย
อาการภาวะตัวเย็นของหวางโป๋ซงเป็นโรคที่เขาป่วยมาตั้งแต่เด็กสมัยอยู่ชนบท เมื่อเติบโตขึ้น อาการก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่กำเริบ ร่างกายก็ราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง แม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆถึงจะเอาอยู่ แพทย์แผนปัจจุบันตรวจหาสาเหตุของโรคไม่เจอ จึงทำการผ่าตัดรักษาไม่ได้ แพทย์แผนจีนเองก็ทำได้แค่ช่วยบรรเทาอาการให้เท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
“อาการป่วยของนายท่านผมสามารถรักษาได้ และรักษาให้หายขาดด้วย ”เซียวชุ่นพูดเสียงเรียบ
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ชายใส่แว่นคนเมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาทันที “นี่พ่อหนุ่ม อย่าพูดจาเหลวไหล อาการป่วยของพ่อฉันขนาดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนในเมืองหลวงก็ยังแค่ช่วยบรรเทาได้เท่านั้น นี่นาย ? ฉันว่าช่างมันเถอะ ”
ชายคนใส่แว่นคือลูกชายของหวางโป๋ซง หวางเหวินเหย้า
โจวชูชิงนั้นเคยเห็นวิธีการรักษาของเซียวชุ่นมาแล้ว ด้วยความรู้เกี่ยวกับการฝังเข็มที่เขามี วิชาแพทย์ของเซียวชุ่นนั้นเขาเชื่อถือมันอย่างเต็มร้อย “อาจารย์ครับ ผมคิดว่าควรให้ปรมาจารย์เซียวเขาลองดูนะครับ……”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...