เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊ นิยาย บท 245

งานเลี้ยงน้ำชาตามคำกล่าวของติงเยว่เป็นโอกาสสำหรับผู้รับผิดชอบกิจการหรือตัวแทนที่มาประชุมได้มาทำความรู้จักกัน

อย่างไรก็ตามขณะที่ใกล้ถึงเวลา กลับไม่สามารถติดต่อเธอได้อยู่นั่น

“ได้ยินพนักงานของประชาสัมพันธ์บอกว่า ดูเหมือนว่าจะออกไปช่วงเช้าก็ไม่เห็นกลับมา โทรศัพท์ก็โทรไม่ติดตลอด” ต้วนเจียกล่าว

“ว่ากันว่าแม่หนูคนนี้จัดการธุระได้รอบคอบ ไม่น่าจะจำเวลาผิดได้นะ” เซียวชุ่นกล่าวด้วยความงุนงง

“ไมงั้นก็แจ้งตำรวจเถอะ?”

“คนหายไปหลังจาก24ชั่วโมงถึงจะสามารถเป็นคดีได้ ช่างเถอะ พวกเราไปกันก่อน รอให้หลังจากที่โทรศัพท์ของเธอติดต่อได้แล้วก็ให้เธอไปหาผมที่สถานที่ประชุมเลยโดยตรงเถอะ”

"ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว"

ภายใต้ความไร้หนทาง เซียวชุ่นกับต้วนเจียทำได้เพียงล่วงหน้าไปก่อน

ต้วนเจียยังไม่เข้าไปในสถานที่จัดงานดังเดิม และรออยู่ด้านนอกเพื่อรอข่าวคราวจากติงเยว่

เซียวชุ่นเดินหน้าไปเพียงลำพัง สถานที่จัดงานในวันนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มากเท่าเมื่อวาน มีเพียงแค่ประมาณยี่สิบสามสิบโต๊ะ มากที่สุดก็นั่งได้สองสามร้อยคน

แต่ละโต๊ะมีป้ายชื่อของตัวเองวางอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ว่าใครจะต้องนั่งที่ไหน แน่นอนว่าที่นั่งใกล้ใจกลางแถวหน้าเหว้ยเหวินตงนั้นเกรงว่าไม่ใช่ว่าใครที่จะสามารถนั่งได้

เซียวชุ่นหาป้ายชื่อของตัวเองพบแล้วนั่งลง ซึ่งยังคงเป็นมุมที่ไม่โดดเด่นดังเดิม

ท้ายที่สุดสตาร์ไลท์บีโอในตอนนี้ยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตการมองเห็นของผู้คนที่แท้จริง ส่วนจินสีกรุ๊ปถูกควบคุมโดยผ่านบริษัทคงเก๋อ เทรดดิ้งอย่างแท้จริง หากว่าไม่ไปตรวจสอบตัวควบคุมที่แท้จริงของมันโดยเฉพาะจะไม่สังเกตเห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือเขา

ยิ่งไปกว่านั้นจินสีกรุ๊ปอยู่ที่เจียงไห่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจกิจการต้นๆ ไปอยู่ในทั่วทั้งหนิงโจวแทบจะจัดอันดับไม่ได้ นับได้แค่เป็นธุรกิจระดับสองระดับสามเท่านั้นเอง

แบรนด์ส่วนใหญ่ที่สว่างไสวของธุรกิจล้วนเลือกเหลยหยางเพื่อตั้งรกราก อย่างไรก็ตามเป็นการประชุมของมณฑลนี่นา

ตามเวลาที่ผ่านพ้นไป ผู้ประกอบการของธุรกิจเป็นระลอกๆและผู้ช่วยก็ทยอยเข้างาน การพูดคุยกันนั้นทำให้แก้วหูปั่นป่วน ในสถานการณ์แบบนี้เซียวชุ่นพอใจที่จะเป็นคนที่โปร่งแสงอยู่เสมอ

จนกระทั่งถางชือชือปรากฏตัว

วันนี้เธอมาเป็นตัวแทนของสาขาย่อยคุนหลุนกรุ๊ป

สาวสวยไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหนก็จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถางชือชือชั้นยอดประเภทนี้

ในไม่ช้าเสี่ยวชุ่นก็ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของนารีเป็นเหตุสี่คำนี้

ถางชือชือเดินไปที่ด้านข้างของเขาอย่างเปิดเผยเลยโดยตรงแล้วก็นั่งลง ชั่วขณะหนึ่งสายตาจำนวนเป็นสิบเป็นร้อยได้จ้องมองมา ทำให้เซียวชุ่นมีภาพลวงตาว่าถูกเปลื้องผ้าจนเปลือยและแขวนอยู่ในที่นั้นแบบหนึ่งขึ้น

คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ที่มีหน้ามีตาและอยู่บ้าง แม้ว่าน้ำลายสอแต่ก็ไม่ถึงกับเข้ามาจีบอย่างเปิดเผย เพียงแค่ชำเลืองมองเธอทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็เท่านั้น

ใครใช้ให้ถางชือชือเตะตาเกินไปอย่างแท้จริงกันล่ะ

ผมหยักราบเรียบละมุนทั้งศีรษะ ผิวพรรณขาวเนียนเปล่งปลั่ง หน้าตางดงามราวดอกท้อ เรียวปากที่มีเสน่ห์และดวงตาสีดอกท้อคู่ที่มีเสน่ห์เพียงพอที่จะดูดดูดทุกชีวิต ที่สำคัญคือความรู้สึกอันสง่างามที่เปล่งประกายออกมาจากตัว ไม่มีที่จะไม่ทำให้ผู้คนปรารถนา

สายตาของคนส่วนใหญ่ในเวลาเดียวกับที่จ้องมองอยู่บนตัวของถางชือชือก็จะเหลือบมองเซียวชุ่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากความอิจฉา ก็ไม่มีความประทับใจอะไรมากนัก

นอกจากทั้งสองคนแล้ว คนหนึ่งคือเหอกวงจี๋ของเล่อซางมีเดีย อีกคนหนึ่งก็คือโค่วเจิ้งชิงประธานกรรมการของจินหลิงกรุ๊ป

เดิมทีมีคนจำนวนมากเข้าร่วมการประชุม เซียวชุ่นก็เป็นคนที่โปร่งแสงคนหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับเขาก็ยากที่จะรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของบุคคลนี้

ถางชือชือนั่งลงที่ข้างกายเขาถึงได้ทำให้เขารู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อยอย่างโชคร้าย เลยทำให้เหอกวงจี๋และโค่วเจิ้งชิงสังเกตเห็นเขาไปด้วย

เหอกวงจี้รีบละทิ้งผู้คนหลายคนที่กำลังสนทนากับเขาในทันใด แล้ววิ่งเข้ามาทักทายโดยเฉพาะ

“คิดไม่ถึงว่าประธานเซียวก็มาที่เหลยหยางด้วย ทำไมถึงไม่ทักทายกันนะ” เหอกวงจี้กล่าว

“ไม่อยากรบกวนประธานเหอ” เซียวชุ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“คุณนี่เห็นเป็นคนอื่นไปแล้ว หลังจากที่ทางนี้สิ้นสุดลง จะต้องให้โอกาสผมได้แสดงความเป็นมิตรของเจ้าถิ่นสักหน่อย”

เซียวชุ่นเห็นว่าเขากระตือรือร้นขนาดนี้ก็ปฏิเสธได้ลำบาก แล้วพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นการเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่งแล้ว”

“ได้ ทางผมโน่นก็ยังมีลูกค้าเก่าอยู่สองสามราย หลังจากที่ทางนี้จบลงแล้ว คุณจะต้องรอผมแน่นะ” เหอกวงจี้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนแล้วถึงจะจากไป

เมื่อเทียบกับความตรงไปตรงมาของเหอกวงจี๋แล้ว โค่วเจิ้งชิงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเซียวชุ่นเพิ่งหักขาทั้งสองข้างของลูกชายของเขา จนถึงตอนนี้ยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล เขากล้าโกรธทว่าไม่กล้าเอ่ย จึงได้แต่โมโหอยู่ในใจ

อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายเป็นเจ้าสำนักของสมาคมบู๊แห่งหนิงโจว ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำของเขา

แม้ว่าเซียวชุ่นจะไม่เคยไปที่บริษัทสำนักงานใหญ่ของสมาคมบู๊แห่งมณฑล แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องที่ว่าเขาเป็เจ้าสำนักได้ ไม่ไปทักทายก็จะเป็นการเสียมารยาท

เขานั้นไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วเซี่ยวชุ่นไม่รู้จักเขาเลย ถ้ารู้ล่ะก็จะไม่พัวพันกันแบบนี้แล้ว

เช่นไรโค่วเจิ้งชิงก็รีบแก้ตัวให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว ฐานะของสมาคมบู๊นั้นไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาในเวลานี้ที่ไม่เดินหน้ามาทักทายก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่

หากว่ามีความจำเป็นสามารถรอแล้วค่อยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

ดังนั้นเขาจึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา

ไม่นานนักก็เห็ผู้อาวุโสคนหนึ่งสวมชุดสูทสีเทาอ่อน ผมหงอกทั้งศีรษะ อายุประมาณหกสิบปีเดินเข้ามาในสถานที่จัดงาน ซึ่งก็คือเหว้ยเหวินตง

เขาโบกมือหรือพยักหน้าให้สัญญาณไปทางผู้เข้าร่วมประชุมบ่อยๆ ไม่นานนักก็ได้เดินไปยังที่นั่งด้านหน้าสุดแล้วนั่งลง

จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวแสดงความยินดีสั้นๆด้วยบรรยากาศที่ติดดินป็นกันเอง

"จุดประสงค์ของงานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้ประการแรกคือเสนอแนะเกี่ยวกับงานของรัฐบาลของเรา รวมทั้งทุกคนสามารถเสนอปัญหาที่พบเจอในการดำเนินงานประจำวันของกิจการออกมาได้หมด พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด"

“ประการที่สองก็คือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จักกัน ปรึกษาหารือกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ดังนั้นทุกท่านก็ไม่ต้องจำกัด มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น พูดกันได้อย่างอิสระ”

จากนั้นเขาก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้น แล้วกล่าวด้วยความรุ่งโรจน์ทั่วใบหน้าว่า “ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงน้ำชา ไม่มีเหล้า ผมจะใช้ชาแทนเหล้าเพื่ออวยพรให้พวกเราทุกๆคนที่เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น”

หลังจากเสียงปรบมืออันอึกทึกดังขึ้น บรรยากาศในตอนแรกที่เคร่งเครียดอยู่บ้าง ได้ค่อยๆเริ่มอบอุ่นขึ้นมา

โต๊ะนี้ของเซียวชุ่นนอกจากถางชือชือแล้วคนอื่นล้วนเป็นผู้ชายหมด แม้ว่าถางชือชือจะให้ความรู้สึกว่าไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงได้ แต่ก็ยังมีคนฝืนพยายามที่จะพูดคุยกับเธอสักหนึ่งหรือสองประโยคแบบนั้น

ตัวอย่างเช่น "คุณถางเป็นตัวแทนของบริษัทไหนหรือครับ?" "รับผิดชอบงานด้านไหนหรือครับ" เป็นต้น

ถางชือชือก็ตอบทีละคำถามอย่างใจกว้าง และก็สื่อสารกับพวกเขาอย่างสงบนิ่งมาก โดยที่ไม่มีความเยือกเย็นสูงส่งที่คนอื่นจินตนาการไว้เลยสักนิด

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เข้าหาได้ยากขนาดนั้น แล้วก็ค่อยๆกล้าแสดงออกมากขึ้น คุยโวโอ้อวดข้อดีของตัวเองกันทีละคนๆ ผู้ชายหน่ะ ดื่มชาก็สามารถคุยโม้ได้เช่นเดียวกัน

เซียวชุ่นดูแปลกใจเล็กน้อยอยู่ด้านข้าง เขาจิบชาเป็นครั้งคราวและนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“คุณชายเหว้ย”

ในเวลานี้เหว้ยเทียนฮั๋วได้เดินเข้ามา ทุกคนที่อยู่ตรงที่นั่งต่างก็ได้กล่าวทักทาย

หลังจากที่เหว้ยเทียนฮั๋วพยักหน้าอย่างสุภาพกับพวกเขา ก็เดินตรงไปถึงด้านข้างของเซียวชุ่น และพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆว่า “ประธานเซียว ขอคุยด้วยสักหน่อยสิ”

ถางชือชือจำได้ทันทีว่าเหว้ยเทียนฮั๋วเป็นผู้นำคนนั้นที่เขาเห็นในไนท์คลับในวันนั้น ในตอนนี้มองดูท่าทางที่ตัวเป็นคนนิสัยเป็นหมาของเขา จึงเหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจไปทีหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊