เซียวชุ่นไม่ได้ตอบรับคำขอของโค่วโม่ซู เขาเห็นแก่หน้าตาของโค่วเจิ้งชิงจึงช่วยรักษาขาให้กับโค่วโม่ซู
ไอ้สารเลวนั้นไม่คิดที่จะรับผลตอบแทนก็แล้ว ยังเสือกคิดอยากจะเรียนรู้สิ่งต่างๆจากผม มันมีเรื่องโชคดีแบบนั้นที่ไหนล่ะ
ย้อนกลับไปพูดโค่วโม่ซูมีอายุ 20 กว่าปีแล้ว มีคุณสมบัติอยู่ปานกลาง การเรียนรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ด้านการแพทย์ก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตทายาทไฮโซรุ่นที่ 2 แบบสุจริตดีกว่า
เอาเข้าจริงภาพลักษณ์ของโค่วโม่ซูที่เขาจดจำนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ถูกสิ คือไม่ดีเลย
ดังนั้นโค่วโม่ซูอยู่ต่อหน้าเขายังไม่มีแม้แต่โอกาสติดตามค่อยปรนนิบัติเขาเลย มีเรื่องอะไรไปหาโค่วเจิ้งชิงโดยตรงก็พอแล้ว ไม่ดีไปกว่าเขาหรอก
เพราะฉะนั้น จากที่พูดมาทั้งหมด โค่วโม่ซูสำหรับเซียวชุ่นแล้วไม่มีประโยชน์อะไรให้ใช้เลย พูดให้ดูแย่ก็อาจจะเป็นตัวถ่วงก็ได้
แน่นอนว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าโค่วเจิ้งชิงซึ่งไม่สามารถพูดว่าลูกชายเขาคือเศษขยะไร้ค่า คำพูดที่หวังดีมักขัดหูนี่หน่า มากน้อยเท่าใดก็ไว้หน้าเขาหน่อยละกัน
เซียวชุ่นหลังออกจากโรงพยาบาลก็มุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรมเลย รอบการท่องเที่ยวเหลยหยางครั้งนี้จบสิ้นสักที กระบวนการพลิกผัน สุดท้ายก็ไม่ขาดทุน เก็บเกี่ยวหินน้ำทิพย์ได้ 1 ชิ้นซึ่งคุ้มค่ากับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
ต้องรู้ว่าสมัยนี้สมบัติของสวรรค์และโลกที่อยู่บนโลกนั้นสามารถพบเจอได้แต่ไม่สามารถเรียกร้องมันได้ พอถึงระดับขอบเขตของเขาอยากจะยกระดับเพิ่มพลังซึ่งมันถึงขั้นที่ยากแทบจะเป็บไปไม่ได้เลย แต่ละครั้งที่ยกระดับเพิ่มหนึ่งขั้นนั้นเปรียบเสมือนคูน้ำธรรมชาติ
เมื่อมีหินน้ำทิพย์ค่อยช่วยหล่อเลี้ยง หินไม้ทิพย์คงจะรวมชีทิพย์ได้รวดเร็วขึ้นแน่นอน คอยช่วยเขาอีกแรง
วันที่ 2 ตอนเช้า ที่จอดรถของโรงแรม
เซียวชุ่นกับเหยาเสินรถคันเดียวกัน ต้วนเจียกับติงเย่วกำลังเตรียมตัวออกเดินทางกลับเจียงไห่พร้อมกัน พึ่งออกจากทางออกที่จอดรถก็มองเห็นถางซือซือยืนรอพวกเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
มองเห็นหลังรถของเซียวชุ่นเธอเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่ขุ่นเคือง เหยาเสินเปิดกระจกรถ มองเธอด้วยใบหน้าที่อธิบายไม่ได้
เสียวชุ่นนวดหน้าผากของเขานวดแล้วนวดอีก ทำไมไอ้ตัวหายนะวิญญาณยังป้วนเปี้ยนไม่ยอมหายไปไหนล่ะ?
ถางซือซือเสมือนจะได้ยืนเสียงคำในใจของเขา ชำเลืองมองเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นหน้าตายิ้มแย้มยิ้มให้กับเหยาเสิน
เธอปั่นหน้าเหมือนคนไม่มีพิษมีภัยพูดว่า “ประธานเหยาให้ฉันนั่งรถไปด้วยได้ไหม? บังเอิญว่าในระหว่างทางสามารถจราจากับคุณทั้งสองเรื่องเป็นตัวแทนแกนนำหุ้ยเชิงหยวน”
เหยาเสินสำหรับการที่เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิง ผู้หญิงคนหนึ่งที่อ่อนไหวละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก ทำไมจะไม่รู้สึกถึงความข่มขู่จากถางซือซือ ถึงแม้เธอตัดสินอย่างมั่นใจว่าเซียวชุ่นกับถางซือซือไม่มีอะไรต่อกันจริงๆ แต่ว่าข้ออ้างของถางซือซือนั้นพยายามโยงเหตุมากเกินไป
เหยาเสินมีความมั่นใจมาโดยตลอด แต่ว่าอยู่ต่อหน้าถางซือซือกลับไม่มีความมั่นใจขึ้นมาสักงั้น
แม้แต่เธอที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งยังต้องยอมรับว่า ถางซือซือสวยมากจริงๆ ยังเกิดในตระกลูที่มั่นคั่ง ไม่ว่าด้วยลักษณะนิสัยอารมณ์และรูปลักษณ์ก็ไม่ด้อยไปกว่าตัวเอง
เพื่อประโยชน์ในการเผชิญครั้งหน้า เธอคิดว่ารักษาความได้เปรียบในที่นี้ของเธอไว้ แต่เธอก็ยังคงตอบกลับอย่างสุภาพใจกว้างว่า “ได้แน่นอน”
ถางซือซือคิ้วผ่อนสบายตายิ้มกล่าวขอบคุณหลังจากนั้น เปิดประตูด้านหลังแล้วเข้าไปในรถ
เดิมทีโลกของคนสองคน หลังเธอนั่งเข้ามา บรรยากาศภายในรถดูเข้าใจยากขึ้นในทันที
ถางซือซือนั่งอยู่ภายในรถได้ไม่นานดวงตาคู่สวยปิดลงก็เริ่มง่วงนอนหลับไหลลง มีท่าทีตรงไหนที่อยากจะเจรจางานกัน อีกอย่างอยู่บนรถจะคุยงานกันยังไง เหยาเสินต้องขับรถและไม่สามารถวอกแวกให้เสียสมาธิ
ต้วนเจียรถของทั้งสองอยู่ข้างหน้า เหยาเสินพวกเขาตามหลังไปติดๆ พ้นจากเมืองเหลยหยางขับมุ่งตรงไปในทางทิศตะวันตกสู่เจียงไห่
“พี่ต้วน ประธานเซียวของพวกเราป็นคนยังไงหรอ?” ภายในรถต้วนเจีย ติงเย่วนั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับเอ่ยถามออกมาอย่างความอยากรู้
“พูดไงดี เอาเป็นว่าไม่ใช่คนเลวร้าย” ต้วนเจียหัวเราะสั้นๆอย่างจริงใจ “ผมกับเขารู้จักกันได้ไม่นาน เป็นเขาที่รักษาโรคของผมหาย ไม่สิ พูดให้เคร่งถูกกว่านี้คือเขาช่วยชีวิตผม”
การที่นักเต้นคนหนึ่งสูญเสียพลังในการเต้นกับการเอาชีวิตของเขาไปมันไม่ได้แตกต่างกันเลย
พึ่งพูดจบ จู่ๆรถเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาหลายครั้ง ต้วนเจียคิ้วขมวดแล้วขมวดอีก นำรถขับไปจอดอยู่ข้างทาง เปิดประตูรถเดินลงมา ตรวจสอบหนึ่งรอบ
“เกิดอะไรขึ้น?” ตอนนี้รถของเหยาเสินก็ได้ขับตามมาแล้ว เซียวชุ่นถาม
“บนล้อรถโดนตะปูสองอันเจาะอยู่”
ต้วนเจียมือวางบนเอว มองไปทางข้างหน้า ถ่มน้ำลายแล้วด่าว่า “คิดว่าทางข้างหน้าคงมีที่ซ้อมยางรถอยู่ ไอ้พวกตัวแสบทำเพื่อได้เงินเรื่องเลวๆอะไรก็ยอมทำออกมาหมด”
“พวกคุณไปก่อนเลย ประธานเหยาระวังบนพื้นถนนด้วย ผมเปลี่ยนยางรถเสร็จแล้วจะตามพวกคุณไป”
“แบบนั้นก็ได้ งั้นให้เสี่ยวติงขึ้นมานั่งในบนรถฉันล่ะกัน” เหยาเสินไตร่ตรองชั่วครู่แล้วพูด
“ไม่ต้องหรอกประธานเหยา ให้ฉันอยู่จะได้ช่วยเหลือได้บ้าง” ติงเย่วโบกมือพูด
“แบบนั้นก็ได้ งั้นพวกเราขับออกมุ่งหน้าไปก่อนล่ะนะ”
พอพูดจบ เหยาเสินสตาร์ทรถเครื่องใหม่แล้วขับออกมุ่งหน้าไป
ประมาณ 20 นาทีหลัง ถางซือซือลืมตาขึ้นมาช้าๆมองออกไปทางหน้าต่างรถ สะลึมสะลือพูดว่า “ขอโทษทีนะ ที่เผลอนอนหลับไป”
เหยาเสินพูดมีความหมายเชิงลึกว่า “ไม่เป็นไร คุณถัง เมื่อคืนคงนอนไม่ค่อยอิ่มใช่ไหม?”
“พอได้อยู่ พวกเราถึงที่ไหนแล้ว?”
“ขับผ่านทางด้านหน้าสะพานแม่น้ำหลู่จึงจะนับว่าออกจากตัวเมืองเหลยหยางแล้ว” เหยาเสินตอบกลับแบบส่งๆ
“โอ้”
เมืองเหลยหยางกับเมืองเหว้ยฮุยมีแม่น้ำหลู่เป็นตัวเชื่อมระหว่างกัน ต้องผ่านทางเมืองเหว้ยฮุยจึงจะถึงเมืองเจียงไห่ ซึ่งยังมีอีก 200 กว่ากิโลเมตร
เนื่องจากสะพานแม่น้ำหลู่เป็นถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองเหลยหยางกับเมืองเหว้ยฮุย ซึ่งช่วงเวลานี้ไม่ถือว่าวุ่นวายมากนัก
ระยะทางที่จะถึงสะพานแม่น้ำหลู่ยังมีประมาณ 1 กิโลเมตรในเวลานั้น มีรถบรรทุกของคันใหญ่หนึ่งคันจากข้างถนนตามติดพวกเขาจากทางด้านหลัง คนขับรถคือผู้ชายวัยกลางคนหนึ่งที่สวมหน้ากากสีดำ
ถนนเส้นนี้เป็นถนนเชื่อมเส้นหลัก มีรถหลายๆแบบขับโผล่มามักเป็นเรื่องปกติ ทั้งสามคนเลยไม่ได้ใส่ใจ
“ระวัง!”
เหยาเสินขับรถไปถึงช่วงกลางของถนน เซียวชุ่นจู่ๆก็รู้สึกขึ้นมาว่ารถบรรทุกของคันใหญ่ด้านหลังเหมือนอยู่ดีๆก็บ้าคลั่งขึ้นมาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว เลยรีบพูดเตือน
รถบรรทุกของคันใหญ่นั้นมากสุดผิวปากขับผ่านเกือบถูโดนรถของเหยาเสิน
ยังดีที่เหยาเสินปฏิกิริยาการตอบสนองเร็ว หลังจากเซียวชุ่นพูดเตือน เธอรีบหักหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็วและขับหลบไปทางอีกฝั่ง
“ใจหายหมดเลยฉัน…” ถางซือซือกุมมือจับตรงหน้าอก พูดด้วยความกังวลใจ
เซียวชุ่นขมวดคิ้วเป็นปม ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นมาในใจ
นั้นไง ไอ้รถบรรทุกของคันใหญ่หลังจากขับผ่านเรา ไปทางถนนด้านหน้าขับช้าลง ทันใดนั้นขับยูเทิร์นข้ามมาอยู่ตรงกลางถนน
ระยะห่างใกล้เกินไป เบรกรถคงไม่ทันแล้ว เหยาเสินตื่นตระหนกทันที จิตใต้สำนึกทำให้ขับมั่วไม่รู้ทิศทาง รถเหมือนเสียการควบคุมเลยพุ่งชนรั้วกั้น
บูม!
แสงแปลบประกายไฟ รถพุ่งทะลุรั้วกั้น มุ่งตรงพุ่งเข้าใต้สะพาน
ในชั่วพริบตาก็มีเสียงบูมดังอีกครั้ง รถก็ตกลงไปในใต้น้ำ ทำให้เกิดน้ำกระเซ็นขนาดใหญ่
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก เซียวชุ่นแค่รู้สึกหน้ามืดตามัว ใบหูได้ยินเสียงของเหยาเสินกับถางซือซือกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก ในตอนนั้นเศษกระจกแตกหลายชิ้นขีดข่วนโดนใบหน้าของเขาเป็นสองสามแผล เลือดไหลเป็นทาง ทันทีหลังจากนั้นรู้สึกถึงความหนาวเหน็บเข้ากระดูกสู่ทั่วร่างกาย
รถส่วนตัวหลายคันบนสะพานจอดรถในทันที ผู้คนไม่น้อยนักรีบร้อนวิ่งลงมาข้างใต้สะพาน
“เกิดเหตุรถชน รีบแจ้งตำรวจที!”
“ในรถใครมีเชือกหรือห่วงชูชีพบ้าง ถ้ามีก็เอาเชือกมาพร้อมลงข้างใต้สะพานกับเรา ต้องการคนช่วยเหลือเพิ่มอีกหลายคน! ช่วยคนก่อนสำคัญที่สุด! อย่ามั่วแต่ยืนนิ่งชะล่าใจ!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งวิ่งตรงไปที่สะพานแล้วตะโกนเสียงดังว่า เวลานี้ที่ไหนมีห่วงชูชีพ ทันใดนั้นมีไม่กี่คนตามเขาลงไปใต้สะพาน หนึ่งในนั้นวิ่งไปที่บ้านหลายหลังที่หัวสะพาน ซึ่งคิดว่าน่าจะไปตามหาอุปกรณ์ช่วยเหลือคนอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...