ตอนที่ 1 ความสามารถนี้เรียกว่าดัชนีทองคำงั้นหรือ? – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
ตอนนี้ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายแปลทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1 ความสามารถนี้เรียกว่าดัชนีทองคำงั้นหรือ? จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 1 ความสามารถนี้เรียกว่าดัชนีทองคำงั้นหรือ?
“นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ สาวงามแสนดีเอย เจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม”
“ผักซิ่งในแม่น้ำมีขนาดใหญ่เล็กปะปนกัน สาวเจ้าสาละวันเด็ดผักซิ่ง เดี๋ยวด้านซ้าย เดี๋ยวด้านขวา สาวงามแสนดีเอย ข้าตามเกี้ยวเจ้าทั้งยามตื่นและยามหลับ”
“……”
ยามเฉิน[1] ตะวันแดงฉายแสงสีทอง พร้อมกับหมอกเลื่อนลอยเริ่มจางหายไป
ภายในลานบ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเสี่ยวฉือ มีเสียงอ่านหนังสือดังแว่วออกมา
ชาวเมืองที่กำลังง่วนอยู่กับงานทุกหนทุกแห่งในเมืองเสี่ยวฉือ เมื่อได้ยินเสียงอ่านหนังสือด้วยเสียงอันไพเราะ ต่างก็พากันหันไปทางทิศตะวันออกพร้อมรอยยิ้มชื่นใจ
“……”
ห้าปีก่อน
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งได้มายังเมืองเสี่ยวฉือ แม้เขาจะอายุยังน้อยแต่กลับเป็นชายหนุ่มรูปงามและเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ
หลังจากชายหนุ่มผู้นี้ได้มาที่เมืองเสี่ยวฉือ นับจากนั้นเขาก็ลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ไม่นาน เขาก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกของเมืองเสี่ยวฉือขึ้นมา หวังให้เด็กเล็กจะได้เล่าเรียนอ่านเขียน ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยจะได้เรียนพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ
ค่าเล่าเรียนนั้นมิมีการกำหนดอย่างชัดเจน หากผู้ใดที่พอมีเงินก็แค่จ่ายเดือนละ 2 ตำลึงก็เพียงพอ ส่วนผู้ใดที่มิมีก็ขอแค่ไข่ไก่มิกี่ฟองก็เพียงพอแล้ว หรือจะเป็นสิ่งของอย่างอื่นล้วนได้ทั้งสิ้น
บางครอบครัวที่กำลังลำบาก ชายหนุ่มที่เข้ากับทุกคนได้ง่ายผู้นี้ก็ยังคอยสมทบทุนช่วยเหลืออีกต่างหาก
เพียงระยะเวลาแค่ 5 ปี ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมากในเมืองเสี่ยวฉือ
และเนื่องด้วยเขามีแซ่ว่า ‘เย่’ ชายหนุ่มผู้นี้จึงถูกทุกคนเรียกขานว่า ‘ท่านเย่’
“ท่านเย่ ขออภัยด้วย ข้าขอขัดจังหวะท่านสักครู่”
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังสอนเด็ก ๆ เจ็ดแปดคนท่องบทกวีกวานจวีในคัมภีร์กวีซือจิงอยู่นั้น ได้มีสตรีร่างท้วมใบหน้าคร้ามแดดคนหนึ่งเดินมาที่หน้าประตู
เย่ฉางชิงหันไปพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยถาม “ท่านป้าจาง มีอะไรเชิญท่านพูดมาได้เลย”
“วันนี้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมาที่เมืองเสี่ยวฉือของพวกเราเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์ ข้าอยากให้เจ้าลูกหมาของข้าไปทดสอบดู ฉะนั้นก็เลย…”
สตรีผู้นั้นมองเย่ฉางชิงด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่มิอาจคาดเดาได้ขึ้นมา ก่อนจะยิ้มออกมาน้อย ๆ และเอ่ยว่า “ขอเพียงได้เป็นศิษย์ของของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ความสำเร็จในอนาคตก็มิอาจประเมินค่าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ”
“เจ้าลูกหมา กลับบ้านไปกับแม่เถอะ”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าอย่างนอบน้อมให้กับเย่ฉางชิง หลังจากนั้นก็หันไปกวักมือเรียกลูกชายของตนที่ยืนน้ำมูกไหลอยู่
“ท่านเย่ ข้านำไข่ไก่มาให้ท่านด้วย วางเอาไว้ที่นอกประตู ตอนจะกลับท่านอย่าลืมเอากลับไปด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อพูดจบ สตรีผู้นั้นก็พาลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบรีบจากไปทันที
หลังจากสตรีผู้นั้นจากไปแล้ว ก็ได้มีชาวบ้านอีกสามสี่คนในเมืองเสี่ยวฉือเดินเข้ามา
เย่ฉางชิงมองดูชาวบ้านกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังคงมีรอยยิ้มสุภาพประดับเอาไว้ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหดหู่
เพราะดูท่าโรงเรียนแห่งนี้คงใกล้จะได้ปิดตัวลงเสียแล้ว…
“ท่านเย่ เจ้าเสือของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“ท่านเย่ เจ้าก้อนหินของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“ท่านเย่ เจ้าหมาน้อยคนรองของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“……”
ชั่วเพลามิถึงหนึ่งก้านธูป โรงเรียนที่กว้างใหญ่ก็เหลือเพียงเย่ฉางชิงแต่เพียงผู้เดียว
เย่ฉางชิงนั่งลงบนธรณีประตู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆอันไกลโพ้น มองทิวเขาที่มีนกบินฉวัดเฉวียนไปมาก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ
ความจริงแล้ว เขาเป็นผู้ที่ทะลุมิติและได้มายังโลกแห่งนี้เมื่อห้าปีก่อน
แน่นอนว่าเย่ฉางชิง มั่นใจในผลงานของตนเองมากทีเดียว
สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองก็เกิดในตระกูลนักปราชญ์
และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะหลังจากที่เขามาถึงที่โลกนี้ ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นมีความเข้าใจในเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กัน และภาพวาดได้อย่างรวดเร็ว
เขามั่นใจว่าหากมีคนนำผลงานเหล่านี้ของเขาชิ้นใดชิ้นหนึ่งติดมือกลับไป มูลค่าในตลาดจะต้องมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงอย่างแน่นอน
“หรือว่าการที่ข้ามีฝีมือวาดภาพ สิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้คือดัชนีทองคำของข้างั้นหรือ?”
เย่ฉางชิงที่นอนอยู่บนเก้าอี้หวายและกำลังชื่นชมภาพไท่เสวียนฉางชิงตรงหน้า จู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเองไปหนึ่งฉาด ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน
“แต่… แต่ความสามารถเช่นนี้จะนับว่าเป็นดัชนีทองคำได้เยี่ยงไร?”
“เหลวไหลเสียจริง!”
“นี่คือโลกบำเพ็ญเพียรที่เต็มไปด้วยปีศาจคอยอาละวาด เต็มไปด้วยอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่เมืองเสี่ยวฉือซึ่งอยู่ติดกับแดนสวรรค์ก็มักจะเกิดภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง ความสามารถเล็กน้อยเหล่านี้เมื่ออยู่ที่นี่ถือว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
“ฟิ่ว!”
“ฟิ่ว!”
“ฟิ่ว!”
เวลานี้ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือกำลังมีลำแสงบางอย่างพาดผ่าน เสียงที่ทะลุผ่านอากาศรุนแรงจนแสบแก้วหู
เย่ฉางชิงลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะรีบไปที่ประตู เขามองดูท่าทางสง่างามของเหล่าคนที่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขาเหล่านั้นเหาะเหินอยู่บนอากาศอย่างองอาจ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา
“หากวันหนึ่งข้าสามารถขี่บนกระบี่เช่นนั้นได้ และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของข้า นั่นต้องเป็นความฝันที่ดีอย่างแน่นอน!”
“แต่ช่างน่าเสียดายนักที่ฟ้ามิสร้างข้าเย่ฉางชิงขึ้นมาให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียร กระบี่เล่มนี้คงถูกลิขิตให้โดดเดี่ยวยาวนานราวกับค่ำคืนในฤดูเหมันต์…”
[1] ยามเฉิน(辰时)คือเวลา 07.00 น. – 09.00 น.
[2] ดัชนีทองคำ เป็นคำที่เอาไว้ล้อเลียนไอเท็มโกงหรือสูตรโกงที่พวกพระเอกในนิยายมักจะมีกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน