เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 132

ตอนที่ 132 เจ้าบอกว่า… ร่างทองของท่านเทพแตกงั้นหรือ ? !

‘ใช่แล้ว ! ’

‘รู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้านจริง ๆ ! ’

‘ความรู้สึกนี้เหมือนจริงยิ่งนัก ! ’

‘ราวกับอยู่ในฝัน แต่ก็เหมือนมิใช่’

เวลานี้เย่ฉางชิงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

แต่ความรู้สึกเยี่ยงไรเสียก็เป็นเพียงความรู้สึก

ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เขาสามารถเดินทางออกจากเมืองเสี่ยวฉือมาจนถึงเมืองหลวงได้แล้ว

คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ใบหน้าขาวใสของเย่ฉางชิงก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา

‘ในที่สุดก็ได้ออกมาจากเมืองเสี่ยวฉือเสียที’

‘อีกทั้งที่นี่ยังเป็นถึงเมืองหลวงในตำนาน’

‘ยอดเยี่ยม ! ’

‘ยอดเยี่ยมมาก ! ’

‘ยอดเยี่ยมจริง ๆ ! ’

หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว เย่ฉางชิงก็กวาดตามองพวกเยี่ยนเทียนซาน

“ท่านเยี่ยน พวกเราเข้าเมืองหลวงกันเถิด”

เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับ พวกเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้”

เยี่ยนเทียนซานยิ้มตอบอย่างมีความสุข

“ท่านเย่ รถม้ารออยู่ด้านหน้า เชิญตามข้ามาได้เลยขอรับ”

เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ต้องรบกวนท่านแล้ว”

เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ ยังคงดูสุภาพและสง่างามเช่นเดิม

มินานเยี่ยนหยางเหนียนก็เดินนำไปยังรถม้าสองคันที่ดูมิได้หรูหรามากนัก

เย่ฉางชิง เยี่ยนเทียนซาน รวมทั้งเยี่ยนปิงซินนั่งรถม้าคันเดียวกันอยู่ด้านหน้า

ส่วนเยี่ยนหยางเหนียนและเยี่ยนจิ่งหงนั่งรถม้าอีกคันตามมาทางด้านหลัง

ภายในรถม้า

เยี่ยนหยางเหนียนได้เอ่ยถามรัชทายาทเยี่ยนจิ่งหงที่นั่งฝั่งตรงข้ามว่า “จิ่งหง ท่าทีของท่านบรรพบุรุษเมื่อครู่ เจ้าคงจะเห็นแล้วใช่หรือไม่ ? ”

เยี่ยนจิ่งหงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ

เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “เช่นนั้นเจ้าต้องจำคำพูดของพ่อเอาไว้ให้ดี ระหว่างที่อยู่ข้างกายท่านเย่ เจ้าต้องลืมฐานะรัชทายาทของตนไปเสีย คิดเสียว่าตนเองเป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่งของท่านเย่ก็พอ”

“แน่นอนว่าหากเทียบกับผู้ติดตามคนอื่นแล้ว เจ้าต้องใส่ใจและปรนนิบัติอย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของเยี่ยนจิ่งหง

เยี่ยนหยางเหนียนจึงยิ้มอย่างเมตตา พลางเอื้อมมือไปตบที่ไหล่ของเยี่ยนจิ่งหงเบา ๆ

“จิ่งหง พ่อจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง”

เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยกับเยี่ยนจิ่งหงอย่างมีเลศนัย

“ความลับหรือพะยะค่ะ ? ”

สีหน้าของเยี่ยนจิ่งหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมาอย่างกระตือรือร้น “เสด็จพ่อ ความลับอันใดหรือพะยะค่ะ ? ”

“ก่อนหน้านี้ปิงซินได้ไปพักอยู่กับท่านเย่มาช่วงหนึ่ง แล้วท่านเย่ก็ได้มอบรากวิญญาณธาตุน้ำแข็งชั้นยอดที่หาได้ยากยิ่งแก่นาง เช่นนั้นตอนนี้เรียกได้ว่าปิงซินนั้นมีพรสวรรค์ที่พิเศษ ความสำเร็จภายภาคหน้าสุดจะคาดเดาได้ นี่เป็นเหตุผลที่ท่านบรรพบุรุษให้ความสำคัญต่อนางมากกว่าแต่ก่อน”

เยี่ยนหยางเหนียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียด “และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พ่อส่งเจ้ามาอยู่ข้างกายของท่านเย่”

‘อะไรนะ ! ’

เยี่ยนจิ่งหงมีสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา ถามขึ้นด้วยความตกตะลึง “เสด็จพ่อ ท่านเย่ผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ ถึงสามารถมอบรากวิญญาณธาตุน้ำแข็งชั้นยอดให้คนอื่นได้เช่นนี้พะยะค่ะ ? ”

เยี่ยนหยางเหนียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า “เพียงครู่เดียวเจ้าก็ลืมสิ่งที่พ่อกำชับไว้ก่อนหน้านี้แล้วงั้นหรือ ? ”

“ห๊ะ ! ”

เยี่ยนจิ่งหงมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงคอไป

มินานสีหน้าของเขาก็ปรากฏแววยินดีขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนา

“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจแล้วพะยะค่ะ”

เยี่ยนจิ่งหงเอ่ยกับเยี่ยนหยางเหนียน เหมือนในที่สุดก็ตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว

อีกด้านหนึ่ง

เย่ฉางชิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาจับจ้องไปยังทิวทัศน์และผู้คนที่อยู่ระหว่างทาง

จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดรถม้าก็ได้มาถึงด้านหน้าประตูทิศใต้ของเมืองหลวง

บนสะพานแขวนทางประตูทิศใต้ มีรถม้าวิ่งกันขวักไขว่ไปมา เป็นบรรยากาศที่คึกคักเป็นอย่างมาก

สำหรับเย่ฉางชิงที่มายังโลกเซียนแห่งนี้นานกว่าห้าปี แต่กลับมิเคยออกจากเมืองเสี่ยวฉือมาก่อน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ล้วนแต่ดูแปลกใหม่

เดิมเขาคิดที่จะลงไปเดินดู

แต่เมื่อหันไปมองเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนปิงซินต่างก็มีท่าทางชินชา และมิมีท่าทีจะลงรถม้าแต่อย่างใด

แม้ท่าทางคำพูดคำจาของพวกเขาทั้งสองจะเต็มไปด้วยความเคารพ แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นเพียงแขกเท่านั้น

เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงได้ขจัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

อีกอย่างเขาคิดว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้อีกสักพัก ต่อไปยังมีโอกาสอีกมาก

นอกจากนี้หากการค้าขายที่เมืองหลวงราบรื่น เขาก็วางแผนเอาไว้แล้วว่า

ต่อไปเขาจะปักหลักอยู่ที่เมืองหลวง

ส่วนเมืองเสี่ยวฉือ

ใครอยากไปก็ไป ส่วนเขาจะมิขอกลับไปอีกแล้ว

ในตอนนั้นเองภาพตรงหน้าก็ค่อย ๆ มืดลง

ในที่สุดรถม้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่ซุ้มประตูเมืองที่ไร้แสงสว่าง

เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป

แสงสว่างก็กลับมาอีกครั้ง

ขณะเดียวกันบรรยากาศอันคึกคักพลันปรากฏสู่สายตา

อาคารเก่าแก่เรียงรายติดกันเป็นแถว บนพื้นถนนถูกปูด้วยหินเขียวสลับซับซ้อนไปมา

บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนแออัดยัดเยียด เสียงตะโกนร้องเรียกของแม่ค้าพ่อค้าดังโหวกเหวกโวยวาย ช่างดูคึกคักยิ่งนัก

แต่ในตอนนั้นเองมิรู้ทำไม ผู้คนบนท้องถนนต่างก็พุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกราวกับถูกน้ำซัด

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ’

ขณะที่เย่ฉางชิงถอนสายตาจากนอกหน้าต่าง กำลังจะหันมาถามเยี่ยนเทียนซาน

พลันเห็นทั้งสองคนมีสีหน้าปั้นยาก และกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่แล้ว

“ท่านเยี่ยน พวกท่านสองคนมองข้าเพราะเหตุใดหรือ ? ”

เย่ฉางชิงเลิกคิ้ว พลางหัวเราะเบา ๆ

“ท่านเย่ พวกเราใกล้จะถึงแล้ว”

เยี่ยนปิงซินเอ่ยกับเย่ฉางชิงพร้อมรอยยิ้ม

เยี่ยนเทียนซานก็พยักหน้ายิ้ม ๆ เช่นกัน

เวลานี้บนภูเขาตะวันออกของเมืองหลวง

ณ อารามฉางชิง

“เปรี้ยง ! ”

ลำแสงสีทองอันเรืองรอง จู่ ๆ ก็พุ่งจากตำหนักหลักขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างมิทราบสาเหตุ

หลังจากนั้นไอพลังลึกลับมหาศาล ก็ทะลักทลายออกมาจากอารามฉางชิงที่อยู่บนยอดเขา ปกคลุมไปทั่วทิศตะวันออกของเมืองหลวงภายในพริบตา

ทันใดนั้นเหล่าผู้คนที่ถูกปกคลุมด้วยไอพลังลึกลับที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ก็ถึงกับเกิดความรู้แจ้งขึ้นมาฉับพลัน

ปัญหามากมายที่กวนใจพวกเขามินานก็ได้รับคำตอบ

ทุกอย่างกระจ่างชัด

น่าเหลือเชื่อ !

ทั้งหมดนี้น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !

ขณะเดียวกันทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง หนึ่งในสองโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นต้าเยี่ยน สำนักศึกษาตงหลัน

วันนี้เป็นวันที่นักปราชญ์ผู้ถูกขนานามว่าเทพแห่งการศึกษา จางเฉิน มาสอนพอดี

เวลานี้ศิษย์หลายร้อยคนกำลังนั่งอยู่บนลานกลางโรงเรียน

ส่วนตรงหน้าของพวกเขา

ก็คือชายชราที่มีผมและหนวดขาวโพลน สวมชุดคลุมตัวหลวม กำลังนั่งตัวตรง แผ่พลังหยางออกมาทั่วทั้งร่าง

คนผู้นี้ก็คือคนที่ถูกมนุษย์ทั่วไปขนานนามว่า ‘เทพแห่งการศึกษา’

จางเฉิน !

“ครืน ! ”

ขณะที่จางเฉินกำลังแก้ข้อสงสัยให้แก่เหล่าลูกศิษย์อยู่นั้น

จู่ ๆ บนลานก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น

ตามด้วยเสียงกึกก้องที่ดังมาจากทางด้านหน้าของโรงเรียน

มินานก็มีชายวัยกลางคนใบหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬผุดขึ้นตามหน้าผาก วิ่งนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา

“แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว ! ”

“ท่านจาง เกิดเรื่องแล้ว ! ”

ชายวัยกลางคนวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าของจางเฉินด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“คำถามของเจ้าควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าอย่าได้ทำชั่วเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าเว้นการทำดีเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย คนอื่นก็ต้องคอยเตือนตัวเองเอาไว้เช่นกัน…”

จางเฉินทำท่าทางราวกับมิแยแสใด ๆ

เขาค่อย ๆ อธิบายคำตอบให้แก่ศิษย์ผู้หนึ่งอย่างตั้งใจ ก่อนจะขมวดคิ้วพลางหันมาถาม “เหยาหยูสือ ชื่อของเจ้าคือหยูสือ (ดั่งหิน) กระทำสิ่งใดก็ควรหนักแน่นดังชื่อ เจ้าร้อนรนเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน ? ”

“ตึง ! ”

ชายวัยกลางคนนามว่าเหยาหยูสือได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักงัน ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น

“ท่านจาง เมื่อครู่จู่ ๆ อารามฉางชิงที่ยอดเขาตะวันออกกลับมีแสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นร่างทองของท่านเทพที่พวกเราสักการะก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ศิษย์จึงจำต้องมารบกวนการสอนของท่านขอรับ”

เหยาหยูสือเช็ดเหงื่อเย็นเฉียบของตัวเอง พลางเอ่ยออกมา

“อะไรนะ ? ”

“เจ้าบอกว่า… ร่างทองของท่านเทพแตกงั้นหรือ ? ”

ทันใดนั้นจางเฉินที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ใด ๆ พลันก็ต้องเบิกตาโพลง ใบหน้าที่ซูบผอมเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในพริบตา

‘ร่างทองท่านเทพในตำนานท่านนั้นแตกงั้นหรือ ! ’

‘เป็นไปมิได้ ! ’

‘นี่มันเป็นไปมิได้ ! ’

‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน