ตอนที่ 194 ท่านบรรพจารย์ออกจากฌาน
ค่ายกลที่วางอยู่ในแดนต้องห้ามถูกสัมผัสในเวลานี้
เช่นนั้นก็หมายความว่าภายในแดนต้องห้ามเกิดการปะทะของบางอย่างขึ้น จึงไปกระทบกับค่ายกลเข้า
เพราะภายในแดนต้องห้ามแห่งนี้มีไอพลังชั่วร้ายที่รุนแรงอย่างมาก ทำให้ภายในมิอาจมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่ได้
ส่วนผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่เช่นพวกเขาเอง เวลานี้ยังคงอยู่ด้านนอกของแดนต้องห้าม
เช่นนั้นก็แสดงว่าท่านบรรพจารย์ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่
อีกทั้งยังเหมือนกับที่ประมุขเจี้ยนเจิ้งหยวนพูดเอาไว้มิมีผิด
ท่านบรรพจารย์ท่านนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะออกจากฌานในตอนนี้ !
เวลานี้ ส่วนลึกของแดนต้องห้าม
หินขนาดต่าง ๆ นับมิถ้วนต่างทับถมกันจนสูงตระหง่านอยู่บนพื้น เศษซากของดาบที่หักตกเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
นอกจากนั้นยังแฝงเอาไว้ด้วยไอสังหารอันน่ากลัวยากที่จะประมาณได้
และตรงกลางของกองหินมากมายที่ตั้งตระหง่านได้มีสระน้ำอยู่สระหนึ่ง
สระนี้พิสดารยิ่งนัก น้ำในสระเป็นสีเขียวเข้ม ถูกปกคลุมไปด้วยไอพลังชั่วร้ายอันมืดมิด
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ก็คือสระฝังกระบี่ ที่เจี้ยนเจิ้งหยวนเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
ตอนนั้นเองสระน้ำอันเงียบสงบก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง
มินานเงาร่างซูบผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ชายชราใบหน้าออกเหลี่ยมผู้หนึ่ง มีผมและหนวดขาวโพลน
ขณะที่ชายชราผู้นี้ลอยขึ้นไปด้านบนนั้น ไอกระบี่ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างก็ได้ทะยานขึ้นไปด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อไอกระบี่อันน่ากลัวทะยานขึ้นฟ้า เศษกระบี่ที่ร่วงอยู่ใกล้ ๆ กลับมีเสียงกระทบกันดังขึ้น ก่อนที่จะลอยขึ้นกลางอากาศเป็นภาพที่ชวนตื่นตระหนกยิ่งนัก
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
“เปรี้ยง ! ”
ทันใดนั้นเพราะการปรากฏขึ้นของไอกระบี่ จึงทำให้ค่ายกลทั่วทั้งแดนต้องห้ามถูกกระตุ้น
ทว่าแม้เวลานี้เสียงจะดังสนั่นหวั่นไหวเพียงใด แต่ชายชรากลับมิได้ขยับเขยื้อนหรือหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
ผ่านไปมิกี่อึดใจ ชายชราก็ได้ขึ้นมาอยู่ริมสระ
“ข้าบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากที่สระฝังกระบี่แห่งนี้มานับพันปี บัดนี้แม้วิญญาณกระบี่จะเป็นอมตะ แต่ก็ยังยากที่จะก้าวหน้าในวิถีกระบี่อยู่ดี”
บัดนี้ชายชรากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา
“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ใกล้จะถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว แต่หากยังมิออกจากฌาน มิแน่ข้าอาจจะต้องละสังขารอยู่ที่สระฝังกระบี่แห่งนี้ก็เป็นได้ ช่างน่าขันยิ่งนัก ข้า ซือถูเจิ้นผิง นับแต่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มาก็หามีเพื่อนรุ่นเดียวกันเทียบเคียงได้ แต่สุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่กาลเวลาอยู่ดี”
เอ่ยเพียงเท่านั้นชายชราก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะหายตัวไปในอากาศ
วินาทีต่อมาชายชราที่เรียกตนเองว่า ซือถูเจิ้นผิง ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครายังด้านนอกของแดนต้องห้าม
ทันทีที่ซือถูเจิ้นผิงปรากฏกาย เหล่าผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“ข้า… ศิษย์คาราวะท่านบรรพจารย์ขอรับ”
หลังจากที่ได้สติเจี้ยนเจิ้งหยวนก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมเอ่ยด้วยความนอบน้อม
ได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสที่เหลือ ต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นโดยมิต้องคิด
ซือถูเจิ้นผิงเพียงปรายตามองทุกคนอย่างมิแยแส
เขาส่ายหน้าด้วยความผิดหวังทันที ที่สัมผัสได้ถึงตบะบารมีวิถีกระบี่ของพวกเขา
“ใครเป็นประมุขคนปัจจุบันกัน ? ”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา และใบหน้าเรียบนิ่ง
เจี้ยนเจิ้งหยวนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นด้วยความสั่นเทา “เรียนท่านบรรพจารย์ ศิษย์เจี้ยนเจิ้งหยวนเป็นประมุขคนปัจจุบันของนิกายหมื่นกระบี่ขอรับ”
“เจ้างั้นหรือ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงมุมปากกระตุกเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยความผิดหวัง “คาดมิถึงว่าข้าเข้าฌานมาพันปี บัดนี้นิกายหมื่นกระบี่กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ ด้วยตบะบารมีของเจ้าสามารถเป็นประมุขของนิกายหมื่นกระบี่ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“สูด ! ”
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกทันที พลางสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอดด้วยความหวาดหวั่น
‘ท่านบรรพจารย์เพิ่งจะออกจากฌาน ก็จะอาละวาดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่บัดนี้มิอาจเทียบกับอดีตได้’
‘เวลานี้มิเพียงแต่นิกายหมื่นกระบี่เท่านั้น แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ในจงหยวนเองก็อยู่ในช่วงขาลงทั้งสิ้น’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน