ตอนที่ 286 ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจี ได้เหาะออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกว่าพันลี้แล้ว
ทั้งสองก็ได้มาหยุดตรงหน้าแม่น้ำอันเชี่ยวกรากสายหนึ่ง
“พี่หนานกง หากท่านมิอยากกลับไปที่ตระกูลหนานกง ให้ข้าไปเองก็ได้”
ซือถูเจิ้นผิงเห็นท่าทางสับสนของหนานกงเสวียนจีแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ
“ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคิดมิถึงจริง ๆ ว่าท่านจะมาจากตระกูลหนานกง ที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ”
หนานกงเสวียนจียืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“คิดถึงตอนนั้นพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของข้าภายในตระกูลยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่กลับหลงใหลในวิถีหมาก ทว่าในสายตาของท่านบรรพบุรุษ วิถีหมากนั้นเป็นเพียงวิถีธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เยี่ยงไรเสียก็ยากที่จะยิ่งใหญ่ได้”
“จนสุดท้ายท่านบรรพบุรุษก็โมโหจนขับไล่ข้าออกจากตระกูล ทั้งยังสั่งข้าอีกว่านับจากนี้ไปห้ามมิให้ใช้วิชาลับและเคล็ดวิชาใด ๆ ของตระกูลหนานกงอีกเป็นอันขาด”
เอ่ยถึงตรงนี้มุมปากของหนานกงเสวียนจีก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน แล้วกล่าวต่ออีกว่า
“มาบัดนี้ด้วยการชี้แนะของผู้อาวุโสเย่ มิเพียงข้าจะสามารถก้าวหน้าในวิถีหมากอย่างรวดเร็ว เวลานี้ยังมีตบะบารมีถึงระดับมหายานขั้นกลางอีกด้วย”
“วันนี้หากข้ากลับไปตระกูลหนานกง มิรู้ว่าท่านบรรพบุรุษจะคิดเช่นไรบ้าง ? ”
ซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปตบบนบ่าของหนานกงเสวียนจีเบา ๆ พร้อมเอ่ยหยอกล้อขึ้น
“พี่หนานกง ข้าคิดมิถึงจริง ๆ ว่าท่านจะมีจิตใจเช่นนี้ด้วย”
“แต่ท่านสังเกตหรือไม่ หลังจากที่พวกเราลองทำความเข้าใจจิตใจของผู้อาวุโสเย่แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้าใกล้หลักการเต๋าแห่งฟ้าดินมากขึ้น ? ”
หนานกงเสวียนจียิ้มออกมา จากนั้นจึงถามกลับไปว่า
“พี่ซือถู ท่านว่าตอนที่ผู้อาวุโสเย่เริ่มบำเพ็ญเพียรนั้น จะอัศจรรย์เพียงใดกัน ? ”
“ห๊ะ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยเย้ยหยันตัวเองขึ้นมา
“พี่หนานกง เกรงว่าท่านเย่คงจะอยู่สูงเกินกว่าที่ข้าจะประเมินได้”
“ผู้อาวุโสเย่ในเวลานี้เรียกได้ว่าเก่งกาจในทุกวิถีทาง เกรงว่าแค่ความเข้าใจและความแตกฉานในวิถีหมากและวิถีกระบี่ ต่อให้พวกเราตายแล้วเกิดใหม่ก็ยากที่เทียบเคียงกับเขาได้”
หนานกงเสวียนจีพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เวลานี้จงหยวนกำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเรารีบไปยังตระกูลโบราณทั้งสี่กันเถอะ”
ซือถูเจิ้นผิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่หนานกง ท่านมั่นใจเพียงใดกัน ? ”
หนานกงเสวียนจีเผยรอยยิ้มมีเลศนัย แล้วเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า “เต็มสิบ ! ”
“ห๊ะ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงผงะไปทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านคงมิคิดจะดึงผู้อาวุโสเย่มาร่วมด้วยหรอกกระมัง ? ”
หนานกงเสวียนจีได้แต่ยิ้มมิพูดมิจา
จากนั้นทั้งสองก็ทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง
……………………………….
วันเดียวกันนั้น
เกือบพลบค่ำ
เนื่องจากชิวหลงรวมถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกหลายตนของเผ่าปีศาจกำลังเข้าฌานอยู่
จนถึงยามซวี1
พวกเขาจึงได้ออกฌานก่อนจะออกคำสั่งเรียกหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งบรรพบุรุษของทุกเผ่าไปประชุมกันที่ขุนเขาสือว่านซาน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ในส่วนลึกของหุบเขามังกรหลับใหล
ตำหนักหินอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขามังกรหลับใหล
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแดนใต้ ต่างก็มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้หมดแล้ว
ชิวหลงรวมทั้งผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกสี่ท่านนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนหัวหน้าและบรรพบุรุษของปีศาจตระกูลต่าง ๆ ก็พากันนั่งลงยังด้านข้างทั้งซ้ายและขวา
ตอนนั้นเอง
“ทุกท่าน ข้ามีข่าวดีจะแจ้ง”
ชิวหลงลุกขึ้นพร้อมกวาดตามองทุกคน พลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเปรมปรีดิ์
“วันนี้ดินแดนรกร้างทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดจักรพรรดิมารตนนั้น คงจะออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็นิ่งงันไป ก่อนที่ใบหน้าของแต่ละคนจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
ทันใดนั้นทั่วทั้งตำหนักโบราณก็เกิดความโกลาหลขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน