ตอนที่ 3 เมื่อครู่ลืมปิดประตูหลัง
ร้านของชำฉางชิง !
อักษรโบราณเพียงห้าตัวแต่กลับทรงพลังยิ่งนัก การเคลื่อนไหวลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างเส้นได้ปล่อยพลานุภาพอันทรงพลังออกมาอย่างมิมีที่สิ้นสุด ทำให้เพียงแค่เห็นก็อดที่จะหวาดกลัวมิได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าใกล้ร้านขายของชำแห่งนี้ ลู่อู๋ซวงก็พบความผิดปกติบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว
ลู่อู๋ซวงสัมผัสได้ถึงปราณหลิงชี่และคลื่นปราณนับไม่ถ้วน ที่แผ่กระจายออกมาจากภายในร้านขายของชำแห่งนี้
ร้านขายของชำแห่งนี้เหมือนกับตาน้ำที่มีน้ำสะอาดผุดขึ้นมา ก่อนจะไหลกระจายไปตามที่ต่าง ๆ
เมื่อยืนอยู่หน้าร้าน ลู่อู๋ซวงก็รู้สึกราวกับกำลังแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทั้งกายและใจ
จู่ ๆ พลังวิญญาณภายในร่างกายก็ไหลวนขึ้นมาอย่างมิทันได้ตั้งตัว จุดทวารนับร้อยทั่วทั้งร่างก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง พร้อมทั้งดูดซับเอาคลื่นปราณที่หลั่งไหลออกมาจากร้านขายของชำเข้าสู่ร่างกายอย่างห้ามมิได้
‘นี่มันเป็นร้านของชำแบบไหนกันนะ ถึงได้มีคลื่นปราณมากมายถึงเพียงนี้ได้ ? ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘นี่มัน… ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’
ขณะที่ลู่อู๋ซวงกำลังสังเกตป้ายบนประตูร้านอยู่นั้น นางก็สัมผัสได้ถึงคลื่นปราณกระบี่ที่แผ่ออกจากอักษรโบราณทั้งห้าตัวบนป้ายไม้แผ่นนั้น
‘มิผิดแน่ ! ’
‘นี่คือคลื่นปราณกระบี่ ! ’
ตัวอักษรที่ทรงพลังเหล่านั้นทั้งแข็งแกร่งและอ่อนนุ่มในเวลาเดียวกัน เหมือนท่วงท่าของการกวัดแกว่งกระบี่ การเคลื่อนไหวลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ พลานุภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ราวกับท่าร่ายร่ำกระบี่ของขุนเขาอันกว้างใหญ่
‘ภายในกระบี่มีพลัง ภายในพลังมีเจตจำนง หากนี่มิใช่เจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ แล้วมันคือสิ่งใดกันเล่า ? ’
หลังจากสูดลมหายใจมิกี่ครั้ง สีหน้าของลู่อู๋ซวงกลับดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด นางคิดในใจว่า “แย่แล้ว ! ” ก่อนจะรีบตั้งสติอีกครั้ง
‘อันตรายยิ่งนัก แค่ตัวอักษรเพียงห้าคำสั้น ๆ แต่กลับแฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่เอาไว้อย่างมิรู้จบ แม้ข้าจะมีรากวิญญาณธาตุทองชั้นยอดและบรรลุแดนจินตานแล้ว ก็ยังเกือบจะถูกเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่นี้บดขยี้จิตกระบี่ของข้าเข้าเสียแล้ว ! ’
ลู่อู๋ซวงพึมพำกับตัวเองไม่หยุด ก่อนจะถอนหายใจออกมาทันทีที่รอดจากอันตรายนี้มาได้
แต่ทว่าวินาทีต่อมา ใบหน้าที่ซีดเผือดของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ยินดีปรากฏขึ้นมา ราวกับนางจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ศิษย์พี่ลู่ ท่านเป็นอะไรไป ? ”
เด็กผู้หญิงที่นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นเห็นสีหน้าของลู่อู๋ซวงซีดเผือด แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน นางจึงเอียงคอถามออกมาด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้องเล็ก หากมิมีอะไรผิดพลาด เมื่อกลับไปครั้งนี้ อีกมินานข้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่หกของคัมภีร์กระบี่จินหยวนได้แล้ว และข้าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น ! ” ลู่อู๋ซวงเผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา
“หืม ? ! เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ ? ”
เด็กผู้หญิงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์บอกว่าหากท่านสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่หกของคัมภีร์กระบี่จินหยวนได้ภายในห้าปี จะถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับยอดเขากระบี่วิญญาณของเรา แต่ศิษย์พี่ ท่านพึ่งจะทะลวงขั้นที่ห้าได้ยังมิถึงครึ่งปีเองนะ”
ลู่อู๋ซวงพยักหน้ายิ้มให้ศิษย์น้องคนนั้นเบา ๆ
ทันใดนั้นนางก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรโบราณทั้งห้าตัวที่อยู่เหนือศีรษะ และอดมิได้ที่จะมองเข้าไปในร้านขายของชำ
‘ผู้ใดเป็นคนแกะสลักอักษรบนป้ายไม้นี้กัน ถึงได้แฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ ? ’
‘หรือว่าจะเป็นผู้ทรงพลังท่านใดท่านหนึ่งที่อยู่จุดสูงสุดของวิถีกระบี่แล้วเช่นนั้นรึ ? ’
จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ สวมชุดสีเขียวที่ดูเรียบง่าย ใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าการเดินสง่างามจนคนที่พบเห็นต่างตกตะลึง ปรากฏตัวขึ้นมา
เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แม้แต่ลู่อู๋ซวงที่ต่างรู้กันดีว่าเป็นคนที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งก็ยังอดที่จะชื่นชมมิได้
‘ช่างรูปงามยิ่งนัก’
ต่อให้เป็นเซียนผู้สงบนิ่งและมิแยแสต่อสิ่งใด มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าหาใช่คนธรรมดาไม่
เมื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็เหมือนประเมินตนอยู่เช่นกัน ลู่อู๋ซวงจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์หวั่นไหวเมื่อครู่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“น่าเสียดายที่ร่างกายไร้ซึ่งไอพลังใด ๆ ดูแล้วเหมือนจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
หลังใช้พลังจิตสำรวจการบ่มเพาะของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ลู่อู๋ซวงก็ส่ายหน้าออกมาด้วยความผิดหวัง
‘พกกระบี่ท่าทางดูแตกต่างจากคนทั่วไป คงจะเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่ ! ’
“ยอดเยี่ยมจริง ๆ ! ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่รู้ว่านักเรียนของตนต่างถูกทดสอบว่ามีรากวิญญาณชั้นยอดนั้น ภายในใจของเย่ฉางชิงหาได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่ กลับรู้สึกโศกเศร้าเสียมากกว่า
ประการแรก นักเรียนของเขาต้องไปบำเพ็ญเพียรที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ซึ่งนั่นหมายความว่าโรงเรียนของเขาคงต้องปิดตัวลงจริง ๆ เสียแล้ว
ประการที่สอง เนื่องจากเหล่านักเรียนแสดงความสามารถออกมาได้อย่างน่าทึ่ง สำหรับผู้ที่ทะลุมิติมาและไร้ซึ่งรากวิญญาณเช่นเขาแล้ว สิ่งนี้จึงกระทบกระเทือนจิตใจอย่างเลี่ยงมิได้
แต่หลักจากที่เย่ฉางชิงคาดเดาตัวตนของพวกลู๋อู๋ซวงจากท่าทางการวางตัวและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แล้ว ทำให้อารมณ์หดหู่ของเขาดีขึ้นอย่างมาก
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกนาง เงินทองของคนธรรมดาหาได้มีประโยชน์อะไรมากมายนัก ดังนั้นปกติเวลาที่พวกนางซื้อของจึงมิค่อยสนใจว่าราคาจะถูกหรือแพง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางยังเป็นสตรีทั้งคู่อีกด้วย
มิแน่หากพวกนางอารมณ์ดี อาจจะจ่ายเป็นศิลาวิญญาณหลายก้อนเลยก็ได้
ต้องรู้ก่อนว่าศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนหากอยู่บนโลกมนุษย์สามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำและเงินตราได้นับพันตำลึงเลยทีเดียว
ส่วนด้านอื่น ๆ นั้น เย่ฉางชิงมิได้คิดถึงและมิกล้าคิดถึงด้วย
แม้ตนเองจะรูปงาม แต่การไร้ซึ่งรากวิญญาณนั้นถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยอันใหญ่หลวงของเขา อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ลัทธิเต๋านั้นเป็นใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน