เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 410

สรุปบท ตอนที่ 410 ที่แท้......ข้าไร้พ่ายมาตั้งนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

อ่านสรุป ตอนที่ 410 ที่แท้......ข้าไร้พ่ายมาตั้งนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? จาก เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 410 ที่แท้......ข้าไร้พ่ายมาตั้งนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายแปล เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 410 ที่แท้……ข้าไร้พ่ายมาตั้งนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อร่างของเทพหลิวหายไปแล้ว

ทว่าเย่ฉางชิงก็ยังคงคาดหวังว่าภายภาคหน้า จะสามารถได้พบกับพวกเขาเหล่านั้นอีกครั้ง

สำหรับเขาแล้ว การได้พบพวกเขาเหล่านั้นที่สวรรค์บูรพา ก็มิต่างอันใดกับการได้พบสหายเก่าในต่างแดน

แต่มิกี่อึดใจต่อมา เขาก็อดมิได้ที่จะรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา เพราะตอนที่อยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรใบนั้น เนื่องจากเขามิสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ทำให้ต้องทนอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือมานานหลายปี

แต่ด้วยความบังเอิญหรืออันใดก็มิอาจทราบได้ จึงทำให้เขาได้รู้จักกับเหล่ายอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรเหล่านั้น และถูกพวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน

ทว่าสุดท้ายเพราะความฝันในครั้งนั้น ตัวเขาก็ได้กลายเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน และเป็นผู้ไร้พ่ายขึ้นมาจริง ๆ

แต่ตอนนี้ปัญหาก็คือ หากได้เจอคนเหล่านั้นอีกครั้งขึ้นมาจริง ๆ

แล้วตัวเขายังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรต๊อกต๋อยอยู่ ส่วนพวกเขากลับกลายเป็นยอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นข้าควรอธิบายกับพวกเขาเช่นไรดี ?

บอกพวกเขาว่า มิรู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ ตื่นขึ้นมา ตบะบารมีก็หายไปจนหมดเยี่ยงนั้นน่ะหรือ ?

หรือการบำเพ็ญเพียรของข้าเกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นจึงต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่ตั้งแต่ต้น ?

หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว

“ช่างเถอะ ! ”

เย่ฉางชิงยกมือขึ้นคลึงที่หว่างคิ้วของตนเอง จากนั้นก็เผยสีหน้าแน่วแน่ออกมา

“ตอนนี้ข้ามีสุดยอดเคล็ดวิชาอย่างเคล็ดเทพปีศาจโบราณและภาพกระบี่ไร้สิ้นสุด ขอเพียงตั้งใจบำเพ็ญเพียร เชื่อว่าสักวันหนึ่งเมื่อพบกับพวกเขาอีกครั้ง ตบะบารมีคงมิต่ำต้อยกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน”

“อีกอย่างขอเพียงข้าสามารถผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ไปได้อย่างราบรื่น และพยายามทำตัวมิให้เป็นที่โดดเด่นจนเกินไป รอจนกว่าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้วค่อยแสดงตัวอีกครั้ง เชื่อว่าหากพบกับพวกเขาตอนนั้นก็คงจะมิอึดอัดใจเท่าไรนัก”

“หากตามที่เขียนเอาไว้ในนิยายแฟนตาซีมากมาย ผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานตัวจริงเหล่านั้น แค่เข้าฌานครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหลายร้อยปีหรือพันปีเข้าไปแล้ว……”

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แม้เย่ฉางชิงจะอดมิได้ที่จะรู้สึกกังวล แต่ก็นับว่าพอจะลดความวิตกลงไปได้บ้าง จากนั้นเขาจึงมิคิดถึงเรื่องนี้อีก

เพราะเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือ จะทำลายแดนมายาแห่งนี้ และผ่านการทดสอบไปได้เยี่ยงไร

สุดท้ายเย่ฉางชิงก็หันกลับไปกวาดตาสำรวจเรือนหลังเล็กอันคุ้นเคยอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปนอกเรือน

ทว่าในวินาทีที่เขาก้าวออกมาจากเรือนเล็กหลังนั้น รอบกายพลันหมุนวน ก่อนทุกสิ่งอย่างจะเลือนรางลง

ผ่านไปชั่วอึดใจ

เมื่อเย่ฉางชิงลืมตาเรียวยาวคู่นั้นขึ้นมาอีกครั้ง

เขาก็ต้องตื่นตกใจ เมื่อพบว่าบรรยากาศรอบกายของตนนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น

หุบเขา ป่าท้อ สะพานไม้ที่มีแม่น้ำไหลผ่านพลันหายไปจนสิ้น

บัดนี้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งความโกลาหล ที่ดูลึกลับแห่งหนึ่งขึ้นมาแทน

ถูกต้อง !

เพราะภาพที่เห็นตรงหน้านั้น เรียกว่า ดินแดนแห่งความโกลาหล

ด้วยหมอกที่ปกคลุมหนาแน่นไปทั่วทุกพื้นที่ บนท้องฟ้ามีพลังโกลาหลจำนวนมหาศาลพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ดวงดาวนับร้อยล้านดวง คล้อยต่ำลงมา ราวกับว่าพร้อมจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ

เมื่อมองออกไปไกลสุดสายตา ก็พบว่ามีต้นไม้สัมฤทธิ์โบราณขนาดใหญ่และดูศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่ง มีแสงสีทองสาดส่องลงมา และปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์แห่งมหามรรคามากมาย ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

กิ่งก้านสาขามากมายแผ่ขยายออกไป

แต่เนื่องจากมีไอพลังโกลาหลจำนวนมหาศาลได้ปกคลุมเอาไว้ ดังนั้นจึงมิสามารถมองเห็นได้เลยว่า กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ได้แผ่ขยายไปทิศทางใดบ้าง

ส่วนลำต้นนั้นแข็งแกร่งราวกับเสาของสวรรค์ อบอวลไปด้วยสัญลักษณ์แห่มหามรรคามากมาย กลับชอนไชลงไปเบื้องล่าง

ทว่าเนื่องจากหมอกควันที่หนาแน่นได้ปกคลุมเอาไว้ จึงทำให้มิสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

แต่หากลองจินตนาการดูแล้วก็จะรู้ว่า ภาพที่ปรากฏสู่สายตาในเวลานี้ อลังการและน่าตื่นตระหนกมากเพียงใด !

“ต้น……ต้นไม้สัมฤทธิ์โบราณต้นนี้ คงมิใช่ต้นไม้ปฐพีในตำนานหรอกกระมัง ? ”

เย่ฉางชิงดวงตาเบิกโพลง อดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก

เท่าที่จำได้เขาเคยเห็นตำราโบราณเล่มหนึ่ง ในหอเก็บตำราของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มีบันทึกเกี่ยวกับตำนานสั้น ๆ เอาไว้ว่า

แรกเริ่มเมื่อฟ้าและดินแยกออกจากกันนั้น ได้มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ท่ามกลางความโกลาหล โดยมีนามว่า ต้นไม้ปฐพี

“แต่บัดนี้ข้าได้ก้าวเข้าสู่วิถีเซียนอีกครั้งแล้ว เชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องสามารถกลับมาที่บ้านเก่าแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน”

เย่ฉางชิงเผยสีหน้ามุ่งมั่นออกมา พลางเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้ากลับมาได้เมื่อไร วันนั้นข้าจะคิดบัญชีกับคนที่ทำร้ายข้าให้จงได้”

จากนั้นเย่ฉางชิงก็เดินตรงเข้าไปในกลุ่มหมอกควันนั้นทันที

แม้ที่นี่จะเป็นเพียงภาพมายา ที่ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกภายในจิตใจ แต่เขาก็ยังหวังว่าจะสามารถหาเบาะแสจากที่นี่ได้บ้าง

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

เย่ฉางชิงก็เดินมาถึงหน้าบึงน้ำขนาดมิใหญ่มากนัก

รอบ ๆ บึงน้ำแห่งนี้มีศิลาวิญญาณหลากสี หลายขนาดวางเรียงรายอยู่ บางก้อนก็มีตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุมอยู่

ทว่าบึงน้ำกลับใสสะอาดตา มองลงไปก็สามารถเห็นก้นบึงได้อย่างชัดเจน

สาหร่ายสีเขียวขจีเปล่งแสงนวลตาออกมา ฝูงปลาหลีที่มีหนวดยาว ลำตัวเป็นสีทองระยิบระยับว่ายวนอยู่ในบึง

เย่ฉางชิงเดินเข้าไปช้า ๆ พร้อมกวาดตามองสำรวจโดยรอบอย่างคร่าว ๆ ก่อนที่สายตาจะหยุดลงตรงดอกบัวดอกหนึ่ง ที่ผุดขึ้นมาอยู่อีกฝั่งของบึง

ทันใดนั้นเย่ฉางชิงก็มีท่าทางที่แปลกไป

ขณะเดียวกัน ซ่งจืออวี่ที่กำลังมองภาพในกระจกตรงหน้า พร้อมกับทำท่ามุทราไปด้วย

เมื่อเขาเห็นว่าเย่ฉางชิงมีสีหน้าสับสน เมื่อได้พบกับดอกบัวดอกหนึ่ง ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“เจ้าเด็กคนนี้เป็นอันใดไป ! ”

ซ่งจืออวี่มีสีหน้าถมึงทึง ก่อนมุมปากจะกระตุกขึ้นอย่างอดมิได้

“ใช้ยาหญ้าหัวใจหนอนไปเกือบจะครึ่งขวดแล้ว แต่กลับมีแค่ภาพมายาที่ไร้สาระออกมาจากจิตใจของเจ้าเด็กคนนี้ บ้าไปแล้ว”

สิ้นเสียงหลวนผิงที่นั่งสมาธิอยู่ที่พื้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองยังกระจกด้านบน

อาจเพราะมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนเอาไว้ จึงทำให้ภาพที่ปรากฏขึ้นในกระจก หาได้มีภาพของต้นไม้ปฐพีไม่

อีกทั้งนอกจากเย่ฉางชิงและบึงน้ำแห่งนั้น รวมถึงดอกบัวดอกนั้นแล้ว สิ่งอื่น ๆ ล้วนแต่ถูกบดบังเอาไว้จนสิ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน