เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 417

ตอนที่ 417 ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว

จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป

ในที่สุดเย่ฉางชิงก็สามารถเพ่งสมาธิ สร้างค่ายกลโบราณขนาดเล็กค่ายกลหนึ่งออกมาได้สำเร็จ

ค่ายกลนี้แม้จะมิใหญ่มากนัก แต่กลับมีลวดลายและสัญลักษณ์โบราณนับมิถ้วนเวียนวนอยู่ อีกทั้งลวดลายและสัญลักษณ์ทั้งหมด ยังเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงออกมาอีกด้วย ช่างดูอัศจรรย์ยิ่งนัก

ทำให้ตรงหน้าของเย่ฉางชิงในเวลานี้ ราวกับมีลูกไฟที่ลุกโชนลูกหนึ่งกำลังถูกแผดเผาอยู่ก็มิปาน ทั้งยังแผ่คลื่นแสงมากมายออกมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

“ชิง ! ”

เย่ฉางชิงค่อย ๆ เอ่ยขึ้น ทว่าราวกับมีพลังมหาศาลบางอย่างออกมา

ทันใดนั้น ค่ายกลขนาดเล็กที่ลอยตรงหน้าของเขาก็เริ่มสั่นน้อย ๆ ก่อนจะผสานเข้าไปความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

วินาทีต่อมาดวงตาของเย่ฉางชิงก็ลืมขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มยินดีออกมา

ถูกต้อง !

เขาทำสำเร็จแล้ว !

ตอนนี้เขาสามารถทำให้ค่ายกลมากมายที่วางเอาไว้บนบันไดเมฆา กลายมาเป็นของตนเองได้สำเร็จ !

บัดนี้เขาเพียงแค่เพ่งสมาธิ ก็สามารถควบคุมค่ายกลทั้งหมดบนบันไดเมฆาได้ตามที่ใจต้องการแล้ว

“ศิษย์พี่ลู่ท่านสมกับเป็นศิษย์ของสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางจริง ๆ การเปลี่ยนค่ายกลของคนอื่นมาเป็นของตนเอง มิเพียงสามารถแก้ค่ายกลได้ แต่ยังสามารถใช้ค่ายกลนั้น ๆ ปกป้องตนเองได้อีกด้วย”

“ปรมาจารย์สร้างค่ายกล ศิษย์พี่ลู่เป็นนักสร้างค่ายกลแห่งยุคตัวจริงเสียงจริง ! ”

เย่ฉางชิงอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา เมื่อเขาสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้เช่นนี้

ทว่าความจริงแล้ว เรื่องช่วงชิงค่ายกลอันใดนั่น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ลู่ซานหยางพูดออกมาเล่น ๆ ก็เท่านั้น เพราะวิชาค่ายกลเป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างหาที่เปรียบมิได้

อีกทั้งลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์ใด ๆ บนโลกนี้ ล้วนแล้วแต่แฝงพลังลึกลับเอาไว้ การที่จะคัดลอกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย ๆ !

ยิ่งภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยแล้ว การจะคัดลอกลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์มากมายออกมา และสร้างเป็นค่ายกลใหม่ของตนเองนั้น

สิ่งเหลวไหลเช่นนี้นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มิว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งขนาดนั้นจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ แต่แค่คิดก็คงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นทำเรื่องเช่นนี้เป็นแน่ !

ทว่าบัดนี้ ความคิดอันบ้าระห่ำของลู่ซานหยางกลับมีคนนำใช้จริง ๆ มิหนำซ้ำเย่ฉางชิงยังสามารถทำให้ความคิดสุดบ้าระห่ำของลู่ซานหยางกลายเป็นจริงได้อีกด้วย

ตอนนั้นเอง น้ำเสียงที่เต็มไปโศกเศร้าและหมดหนทางเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ท่านพี่เย่ ข้าอดทนต่อไปมิไหวแล้วเจ้าค่ะ”

เย่ฉางชิงจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองศิษย์หญิงนางหนึ่ง ที่อยู่ทางด้านหลัง

เมื่อเห็นว่าศิษย์หญิงที่มีใบหน้าค่อนข้างงดงาม เวลานี้กลับมีใบหน้าที่แดงก่ำ เหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆ ร่างอรชรสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนดวงตาของนางที่มองมายังเย่ฉางชิงนั้น กลับเต็มไปด้วยความอาวรณ์และมิยอมแพ้

“เกือบลืมไปแล้ว ! ”

เย่ฉางชิงตบที่หน้าผากของตนเองเบา ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิ เพียงพริบตาแรงกดดันที่ปกคลุมร่างของทุกคนก็ค่อย ๆ คลายลง

จากนั้นทุกคนก็มีท่าทางซวนเซเล็กน้อย จนหัวเกือบทิ่มลงบันไดเมฆา ทว่าเพียงมินานก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ต่างตกตะลึงจนแข็งค้างราวกับหิน

เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน !

ความกดดันที่ได้รับจากบันไดเมฆาหายไปแล้ว !

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ !

หรือว่าการทดสอบหัวข้อบันไดเมฆาเกิดปัญหาขึ้นอีกแล้ว ?

มิใช่หรอกกระมัง !

คงมิบังเอิญขนาดนั้นหรอก !

แม้แรงกดดันที่ได้รับจางหายไปแล้ว ทว่าเหล่าศิษย์หญิงกลับมิได้มีรอยยิ้มยินดีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามพวกนางกลับเผยสีหน้าสับสนออกมาแทน

เนื่องจากเคยประสบกับปัญหาในการทดสอบแดนมายามาแล้ว จึงทำให้พวกนางเกิดความสงสัยว่าการทดสอบหัวข้อบันไดเมฆานี้ จะมีปัญหาด้วยหรือไม่ ?

เช่นนี้มิเท่ากับว่าความพยายามของพวกนางต้องสูญเปล่าหรอกหรือ ?

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ศิษย์หญิงที่มีใบหน้าอ่อนหวานนางหนึ่ง ก็ได้ลองก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้นอย่างลังเล

ทว่าในวินาทีต่อมา สีหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะหันกลับไปมองทางด้านหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน