ตอนที่ 430 คนผู้นั้น…นามว่าหนานกงเสวียนจี
“เลอะเลือน ? ”
อู๋ไท่เหอส่ายหน้ายิ้ม ๆ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“คิดถึงตอนแรก ๆ ที่ข้าเพิ่งเข้ามาในนิกายกระบี่สวรรค์ ยังสับสนกับวิถีของตนเอง ข้าก็ได้ถามอาจารย์ว่าตนเองควรบำเพ็ญเพียรวิถีใด และคำตอบของอาจารย์ก็คือ เข้านิกายกระบี่สวรรค์ก็ย่อมต้องบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่”
เอ่ยถึงตรงนี้ อู๋ไท่เหอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ทว่าในวินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น ลึกเข้าไปในดวงตากลับมีแสงสีขาวและดำเปล่งประกายออกมาด้วย
“จากนั้นข้าก็มุ่งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอดีตศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นถึงเรียกข้าว่าผู้หลงใหลในกระบี่”
จากนั้นอู๋ไท่เหอก็ลุกขึ้นยืน พลางหันไปสบตากับหนิงซู่ซู่เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่การบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ของข้า กลับยังสู้ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งดนตรีของศิษย์น้องหนิงมิได้เลย”
“จนหลังจากที่ข้าได้สัมผัสกับวิถีแห่งหมาก ตอนนั้นข้าก็เริ่มสงสัยแล้วว่าแท้จริงแล้ว ข้าเลือกผิดมาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ น่าเสียดายที่การบำเพ็ญเพียรนั้นมิง่าย ข้าจึงมิกล้าบั่นทอนวิถีกระบี่ เพื่อเปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก”
อู๋ไท่เหอยิ้มออกมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเบนสายตาไปทางขงซิงเจี้ยน
“หลังจากครั้งแรกที่ข้าเดิมพันและแพ้ให้แก่นักพรตเสวียนจีครึ่งแต้ม ในที่สุดข้าก็ได้ตระหนักว่าวิถีหมากต่างหากเล่า ที่ควรจะเป็นวิถีของข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียง มือทั้งสองข้างของขงซิงเจี้ยนพลันกำแน่น พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งปะทุขึ้นออกมาทั่วร่าง
“ศิษย์พี่อู๋ ท่านมิรู้หรือว่าทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าเสวียนจีผู้นั้นตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ? ”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยออกมาอย่างดุดัน
“ศิษย์น้องขง เจ้ามิเข้าใจ”
อู๋ไท่เหอตบที่บ่าขงซิงเจี้ยนพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “วิถีหมากนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อน หาได้ง่ายดายอย่างเช่นที่เจ้าคิดไม่ นับตั้งแต่หมากตัวแรกถูกวางบนกระดานจนพิฆาตศัตรูได้ แม้ระหว่างทางที่เดินหมากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ล้วนอยู่ในการคำนวณทั้งสิ้น และสิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายถึงคุณสมบัติบนวิถีหมากของข้าได้แล้ว”
ขงซิงเจี้ยนถอนหายใจออกมา พร้อมกับกระทืบเท้าด้วยความมิพอใจ
ต้องยอมรับว่าในสายตาของขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่นั้น
เวลานี้ศิษย์พี่อู๋ได้ตัดทอนวิถีกระบี่ และเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากแล้วจริง ๆ
อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว ก็คงเข้าสู่วิถีแห่งหมากได้สำเร็จเป็นแน่
ทว่าในวินาทีที่อู๋ไท่เหอลืมตาขึ้นมา ไอพลังบนกายของเขาค่อนข้างปั่นป่วน รวมถึงคำกล่าวที่ใช้ในตอนนี้ ทำให้อดสงสัยมิได้ว่ารากฐานเต๋าของอู๋ไท่เหอในเวลานี้มิมั่นคง มีความเป็นไปได้ที่จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก
และการจะป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นนั้น จำเป็นจะต้องเชิญผู้แข็งแกร่งที่มีความแตกฉานในวิถีแห่งหมากขั้นสูง ช่วยชี้แนะเขาให้หลุดจากหลุมดำนี้
ทว่านับตั้งแต่อดีตมา ผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญเพียรวิถีหมากล้อม เรียกได้ว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
นักพรตเสวียนจีแห่งวังเสวียนจี ?
พอเถอะน่า !
วังเสวียนจีและนิกายกระบี่สวรรค์มิถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คาดว่าผู้อาวุโสของวังเสวียนจีคงอยากให้อู๋ไท่เหอธาตุไฟเข้าแทรกเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ใกล้จะถึงกำหนดครบรอบหนึ่งร้อยปี ระหว่างสองสำนักเซียนใหญ่แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนก็หันไปสบตากัน ก่อนจะเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “ศิษย์พี่อู๋ บัดนี้ในเมื่อท่านตัดทอนวิถีกระบี่ และเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีหมากล้อมแล้ว เช่นนั้นหากท่านได้พบนักพรตเสวียนจีแห่งวังเสวียนจีผู้นั้นอีกครั้ง จะมีโอกาสชนะมากน้อยขนาดไหนงั้นหรือ ? ”
อู๋ไท่เหอมีสีหน้าสงบนิ่ง ค่อย ๆ ยกฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังว่า “สิบส่วน ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียง หนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนต่างพากันนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะสบตากันอีกครั้งอย่างอดมิได้
หลงตนเอง !
นี่คืออาการหลงตนเอง !
พ่ายแพ้มานับพันปี
จู่ ๆ ก็ยอมตัดทอนวิถีกระบี่ เพื่อเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีหมากล้อม และคิดว่าจะสามารถเอาชนะได้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่มิใช่อาการธาตุไฟเข้าแทรก แล้วจะเรียกว่าอันใดกัน ?
“ศิษย์พี่อู๋ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็จงตั้งใจทำความเข้าใจในวิถีหมากล้อมอยู่ที่นี่ต่อเถอะ พวกเราสองคนมีธุระคงต้องขอตัวก่อน”
ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ส่งสายตาสื่อสารกัน ก่อนจะเอ่ยขอตัวลา
อู๋ไท่เหอพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ยืนส่งคนทั้งสองจนหายลับตาไป
มิกี่อึดใจต่อมา
เมื่ออู๋ไท่เหอถอนสายตากลับมา และกวาดตามองกระดานหมากใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง ร่างทั้งร่างก็ค่อย ๆ ย่ำแย่ลง
“มิใช่ ตามวิธีก่อนหน้านี้ หมากขาวเดินเช่นนี้ต่อไปมิถึงสิบตัวก็มีโอกาสที่จะแพ้ได้”
“หมากดำก็มิถูก หากหมากดำเดินเช่นนี้ต่อไป มิเท่ากับเป็นการตัดทางรอดของตนเองหรอกหรือ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน