เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 439

สรุปบท ตอนที่ 439 วิถีหมากข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 439 วิถีหมากข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายแปลทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 439 วิถีหมากข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 439 วิถีหมากข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น

ขณะเดียวกันระหว่างที่หนานกงเสวียนจีและนักพรตเสวียนจี ได้ประลองหมากกันอีกครั้ง

ด้านบนของบันไดเมฆา

บนโลกใบเล็ก

ตำหนักเทพวาสนา

เย่ฉางชิงยังคงนั่งสมาธิอยู่ภายในสระบัว ที่ตอนนี้น้ำศักดิ์สิทธิ์ได้เหือดแห้งไปจนหมดแล้ว

โดยรอบกายของเขายังคงมีจุดเซินฉางทั้งหกตำแหน่งล่องลอยอยู่ พร้อมกับหมอกอันเจิดจ้าที่พวยพุ่งออกมา และสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นแสง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

แต่สิ่งที่ทำให้งุนงงมากที่สุดก็คือ

สิ่งที่ลอยอยู่ด้านบนศีรษะของเย่ฉางชิงมิใช่จินตานขนาดเท่าแผ่นหินโม่แป้ง ที่แผ่แสงระยิบระยับและอบอวลไปด้วยไอหยินหยาง ทว่ากลับเป็นดอกบัวหนึ่งดอก

ถูกต้อง !

บัดนี้เย่ฉางชิงก้าวเข้าสู่ระดับแดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ ก็คือ แดนก่อกำเนิดของเขานั้น หาใช่แดนก่อกำเนิดที่ทั้งร่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มีหมอกแสงปกคลุม ไอพลังลอยอบอวล และมหัศจรรย์อย่างยิ่งเช่นนั้นไม่

ทว่าแดนก่อกำเนิดของเขากลับกลายเป็นดอกบัวสีเขียว ที่ดูนวลตาดอกหนึ่ง

แต่ดอกบัวดอกนี้หาใช่ดอกบัวธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกไม่

ถึงแม้จะมิมีไอหมอกลอยอบอวล หรือสัญลักษณ์มหามรรคาปรากฏ ทว่าเพียงแค่ไอพลังที่แผ่ออกมาเล็กน้อยนั้นกลับมีพลังรุนแรง จนทำให้ความว่างเปล่ารอบ ๆ เกิดรอยแตกร้าวขึ้น ทั้งยังมีประกายไฟเปล่งออกมาอีกด้วย

แค่คิดก็รู้แล้วว่า ดอกบัวดอกนี้หาใช่ดอกบัวธรรมดาไม่ !

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

หลังจากเย่ฉางชิงหยุดการโคจรเคล็ดเทพปีศาจโบราณลง นิมิตทั้งหมดที่ปกคลุมอยู่รอบกายของเขาก็มลายหายไป ราวกับมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทันใดนั้น ภายในตำหนักเทพวาสนาอันกว้างใหญ่ พลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่

“จิตใจคนยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ ! ”

“ข้าบรรลุถึงแค่ระดับแดนก่อกำเนิด ทว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในสระบัวกลับเหือดแห้งไปจนหมดแล้ว ตำหนักเทพวาสนาอันใดกัน มีดีแค่ชื่อเท่านั้นเอง”

เย่ฉางชิงพร่ำบ่นออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

แต่ในครั้งนี้ขณะที่เขาตาลืมขึ้น กลับมิมีลำแสงอันใดเปล่งออกมาอีก นอกจากท่าทางที่ดูสงบนิ่งและเย็นชามากขึ้นเท่านั้น

อีกทั้งเมื่อนิมิตที่ปกคลุมรอบกายจางหายไป

เย่ฉางชิงในเวลานี้แม้ลักษณะท่าทางของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่เขากลับรู้สึกบริสุทธิ์ผุดผ่องและดูสุภาพอ่อนโยนลงกว่าเดิมหลายเท่า เพียงแค่มองแวบเดียว ก็ทำให้จิตใจรู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

“ช่างเถอะ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียงคนหนึ่งแล้ว การจะเป็นผู้ไร้พ่ายไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย การที่ข้าสามารถบำเพ็ญเพียรและก้าวเข้าสู่ระดับแดนก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ก็นับเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว”

บนใบหน้าผุดผ่องไร้ตำหนิของเย่ฉางชิงเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา พร้อมกับเอ่ยปลอบใจตนเอง

จากนั้นเขาก็ได้ลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมออกจากฌานในวันนี้ ออกจากที่นี่และกลับไปที่นิกายกระบี่สวรรค์

หลังจากสวมอาภรณ์ จัดการผมเผ้าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว

เย่ฉางชิงก็ได้พิจารณาภาพโบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศ รวมทั้งทฤษฎีไร้พ่ายที่อยู่บนผนังอีกครู่ใหญ่

จากนั้นเขาก็ได้เดินไปเปิดประตูสัมฤทธิ์บานนั้นอีกครั้ง และก้าวออกจากตำหนักเทพวาสนา

ทว่าขณะที่ประตูของตำหนักเทพวาสนาได้ปิดลงอีกครั้งนั้น

จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกผูกพันกับตำหนักเทพวาสนาหลังนี้ อย่างมิทราบสาเหตุ

‘นี่มันเรื่องอันใดกัน’

‘หรือตัวตำหนักเทพวาสนายังเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งด้วย ? ’

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ประกายบางอย่างก็ได้พาดผ่านแววตาของเย่ฉางชิง เมื่อเขาบังเอิญนึกถึงคำพูดหนึ่งของเซียวเย่ฟานขึ้นมาได้

ของขวัญสองชิ้น !

กระบี่หยกวิญญาณดำหนึ่งเล่ม ที่เป็นตัวแทนบรรพบุรุษของนิกายกระบี่สวรรค์ และสามารถใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรของนิกายกระบี่สวรรค์ได้อย่างมิจำกัด

ส่วนตำหนักเทพวาสนาหลังนี้ แม้จะมิมีคำอธิบายใด ๆ แต่มิแน่อาจจะเป็นอาวุธสังหารที่ไร้เทียมทานชิ้นหนึ่งก็เป็นได้

‘อืม ! ’

‘มีความเป็นไปได้ ! ’

‘บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน ? ’

‘หรือว่าเป็นร่างแปลงของผู้แข็งแกร่งในวิถีเซียนท่านใดท่านหนึ่ง ? ’

‘มิใช่สิ !’

‘แต่ร่างของเขาแทบมิมีไอพลังแผ่ออกมา ลักษณะท่าทางก็มิได้ดูพิเศษมากนัก’

‘แต่ว่า ! ’

‘หากเป็นเพียงศิษย์สายในผู้หนึ่ง บรรพจารย์ทั้งสองท่านคงมิไปต้อนเขาเช่นนี้กระมัง ! ’

‘มีบางอย่างแปลก ๆ ! ’

ระหว่างที่ทุกคนกำลังมองดูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอยู่นั้น

ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเย่ฉางชิงแทบจะพร้อม ๆ กัน

“น้องเย่ ในที่สุดเจ้าก็ลงมาจากบันไดเมฆาแล้ว ! ”

ขงซิงเจี้ยนมิรู้ว่าควรจะเรียกเย่ฉางชิงว่าเยี่ยงไรดี เมื่อจวนตัวเช่นนี้จึงได้เรียกเขาว่า น้องเย่ แทน

“เจ้า……เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่ ? ”

เมื่อเจอหน้าเย่ฉางชิงอีกครั้ง หนิงซู่ซู่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกฟุ้งซ่าน แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย

“สบายดี”

เย่ฉางชิงมีท่าทางสงบนิ่งพร้อมกับยิ้มรับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนักพรตเสวียนจีและหนานกงเสวียนจีที่ยืนอยู่ด้านบน

“ผู้อาวุโสนิกายกระบี่สวรรค์ล้วนแต่เดินหมากกันเช่นนี้หรือ ? ”

เย่ฉางชิงมองขึ้นไปด้านบนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้น ขงซิงเจี้ยนก็อดที่จะถามมิได้ว่า “น้องเย่ เจ้าเองก็บำเพ็ญเพียรวิถีหมากงั้นหรือ ? ”

“วิถีหมาก ? ”

เย่ฉางชิงนิ่งงันไป พลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ “วิถีหมาก ข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน