ตอนที่ 439 วิถีหมากข้ามิรู้หรอก แต่ข้าเดินหมากเป็น
ขณะเดียวกันระหว่างที่หนานกงเสวียนจีและนักพรตเสวียนจี ได้ประลองหมากกันอีกครั้ง
ด้านบนของบันไดเมฆา
บนโลกใบเล็ก
ตำหนักเทพวาสนา
เย่ฉางชิงยังคงนั่งสมาธิอยู่ภายในสระบัว ที่ตอนนี้น้ำศักดิ์สิทธิ์ได้เหือดแห้งไปจนหมดแล้ว
โดยรอบกายของเขายังคงมีจุดเซินฉางทั้งหกตำแหน่งล่องลอยอยู่ พร้อมกับหมอกอันเจิดจ้าที่พวยพุ่งออกมา และสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นแสง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ทำให้งุนงงมากที่สุดก็คือ
สิ่งที่ลอยอยู่ด้านบนศีรษะของเย่ฉางชิงมิใช่จินตานขนาดเท่าแผ่นหินโม่แป้ง ที่แผ่แสงระยิบระยับและอบอวลไปด้วยไอหยินหยาง ทว่ากลับเป็นดอกบัวหนึ่งดอก
ถูกต้อง !
บัดนี้เย่ฉางชิงก้าวเข้าสู่ระดับแดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ ก็คือ แดนก่อกำเนิดของเขานั้น หาใช่แดนก่อกำเนิดที่ทั้งร่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มีหมอกแสงปกคลุม ไอพลังลอยอบอวล และมหัศจรรย์อย่างยิ่งเช่นนั้นไม่
ทว่าแดนก่อกำเนิดของเขากลับกลายเป็นดอกบัวสีเขียว ที่ดูนวลตาดอกหนึ่ง
แต่ดอกบัวดอกนี้หาใช่ดอกบัวธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกไม่
ถึงแม้จะมิมีไอหมอกลอยอบอวล หรือสัญลักษณ์มหามรรคาปรากฏ ทว่าเพียงแค่ไอพลังที่แผ่ออกมาเล็กน้อยนั้นกลับมีพลังรุนแรง จนทำให้ความว่างเปล่ารอบ ๆ เกิดรอยแตกร้าวขึ้น ทั้งยังมีประกายไฟเปล่งออกมาอีกด้วย
แค่คิดก็รู้แล้วว่า ดอกบัวดอกนี้หาใช่ดอกบัวธรรมดาไม่ !
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
หลังจากเย่ฉางชิงหยุดการโคจรเคล็ดเทพปีศาจโบราณลง นิมิตทั้งหมดที่ปกคลุมอยู่รอบกายของเขาก็มลายหายไป ราวกับมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทันใดนั้น ภายในตำหนักเทพวาสนาอันกว้างใหญ่ พลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่
“จิตใจคนยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ ! ”
“ข้าบรรลุถึงแค่ระดับแดนก่อกำเนิด ทว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในสระบัวกลับเหือดแห้งไปจนหมดแล้ว ตำหนักเทพวาสนาอันใดกัน มีดีแค่ชื่อเท่านั้นเอง”
เย่ฉางชิงพร่ำบ่นออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
แต่ในครั้งนี้ขณะที่เขาตาลืมขึ้น กลับมิมีลำแสงอันใดเปล่งออกมาอีก นอกจากท่าทางที่ดูสงบนิ่งและเย็นชามากขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อนิมิตที่ปกคลุมรอบกายจางหายไป
เย่ฉางชิงในเวลานี้แม้ลักษณะท่าทางของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่เขากลับรู้สึกบริสุทธิ์ผุดผ่องและดูสุภาพอ่อนโยนลงกว่าเดิมหลายเท่า เพียงแค่มองแวบเดียว ก็ทำให้จิตใจรู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“ช่างเถอะ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียงคนหนึ่งแล้ว การจะเป็นผู้ไร้พ่ายไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย การที่ข้าสามารถบำเพ็ญเพียรและก้าวเข้าสู่ระดับแดนก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ก็นับเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว”
บนใบหน้าผุดผ่องไร้ตำหนิของเย่ฉางชิงเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา พร้อมกับเอ่ยปลอบใจตนเอง
จากนั้นเขาก็ได้ลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมออกจากฌานในวันนี้ ออกจากที่นี่และกลับไปที่นิกายกระบี่สวรรค์
หลังจากสวมอาภรณ์ จัดการผมเผ้าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว
เย่ฉางชิงก็ได้พิจารณาภาพโบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศ รวมทั้งทฤษฎีไร้พ่ายที่อยู่บนผนังอีกครู่ใหญ่
จากนั้นเขาก็ได้เดินไปเปิดประตูสัมฤทธิ์บานนั้นอีกครั้ง และก้าวออกจากตำหนักเทพวาสนา
ทว่าขณะที่ประตูของตำหนักเทพวาสนาได้ปิดลงอีกครั้งนั้น
จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกผูกพันกับตำหนักเทพวาสนาหลังนี้ อย่างมิทราบสาเหตุ
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน’
‘หรือตัวตำหนักเทพวาสนายังเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งด้วย ? ’
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ประกายบางอย่างก็ได้พาดผ่านแววตาของเย่ฉางชิง เมื่อเขาบังเอิญนึกถึงคำพูดหนึ่งของเซียวเย่ฟานขึ้นมาได้
ของขวัญสองชิ้น !
กระบี่หยกวิญญาณดำหนึ่งเล่ม ที่เป็นตัวแทนบรรพบุรุษของนิกายกระบี่สวรรค์ และสามารถใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรของนิกายกระบี่สวรรค์ได้อย่างมิจำกัด
ส่วนตำหนักเทพวาสนาหลังนี้ แม้จะมิมีคำอธิบายใด ๆ แต่มิแน่อาจจะเป็นอาวุธสังหารที่ไร้เทียมทานชิ้นหนึ่งก็เป็นได้
‘อืม ! ’
‘มีความเป็นไปได้ ! ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน