ตอนที่ 51 ไม้ตายของเจ้าสำนักจื่อชิง
“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ”
ผ่านไปพักใหญ่กว่าสวีฉิงเทียนจะเงยหน้าอันแดงก่ำขึ้น พร้อมสูดหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันขอบตาของเขาก็แดงก่ำเช่นเดียวกัน ท่าทางเต็มไปด้วยความสับสน พลางส่ายหน้าและพึมพำกับตัวเอง
‘เป็นไปมิได้ เวลาเพียงแค่ 10 ปี ความสามารถในด้านหมากล้อมของเหอฉางเสวียน กลับเปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ อีกทั้งผู้อาวุโสหนานกงได้เริ่มชี้แนะหมากล้อมให้กับข้า ตั้งแต่สองร้อยปีก่อนแล้ว…’
นักพรตฉางเสวียนยกยิ้มมุมปาก แววตาฉายประกายบางอย่างที่คาดเดามิออก เมื่อเห็นท่าทางส่ายหน้าและพึมพำกับตนเองราวกับคนเสียสติของสวีฉิงเทียน
เป็นที่รู้กันดีว่าหมากล้อมเป็นวิถีฝึกจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรได้ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำลายผู้บำเพ็ญเพียรได้เช่นกัน
บางทีนี่อาจจะเป็นเสน่ห์ของวิถีหมากล้อมก็เป็นได้ !
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายก็ยังต้องการที่จะเรียนรู้วิถีหมากล้อม เพื่อใช้หมากล้อมในการฝึกฝนจิตใจ
นักพรตฉางเสวียนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า “พี่สวี อะไรที่เป็นไปมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันทีที่สวีฉิงเทียนได้สติ เขาก็ส่ายหน้าก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่เหอ ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเพียงแค่ 10 ปี ฝีมือด้านหมากล้อมของท่านจึงก้าวหน้าขึ้นมากถึงเพียงนี้ได้ ? ”
นักพรตฉางเสวียนส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่สวี บอกตามตรงเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เช่นนั้นขออภัยที่ข้ามิอาจบอกท่านได้”
สวีฉิงเทียนจ้องนักพรตฉางเสวียน เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาตรง ๆ “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสที่ท่านเอ่ยถึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนเพียงแค่ยิ้มออกมา หลี่ชิ่งที่อยู่ด้านหลังก็มิกล้าแสดงท่าทีใด ๆ ออกมาเช่นกัน
เวลานี้เขาเชื่อในคำพูดของนักพรตฉางเสวียนอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ เพราะเรื่องนี้ใหญ่หลวงนักและเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย
กล่าวได้ว่าตีให้ตายเยี่ยงไร เขาก็มิมีทางเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด
จ้าวชิงมองนักพรตฉางเสวียนที่ยังคงยิ้มแย้มด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะหันไปมองทางหลี่ชิ่ง
หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง เขาก็ทำได้เพียงส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา
สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่นแล้วถามต่อว่า “หรือว่าผู้อาวุโสท่านนี้ก็บรรลุขั้นสูงสุดของวิถีแห่งหมากด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตฉางเสวียนจึงเอ่ยว่า “พี่สวี วันนี้เป็นการประลองฝีมือของศิษย์ทั้งสองสำนัก คงมิจำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องราวภายในของดินแดนไท่เสวียนของเราให้ท่านทราบกระมัง ? ”
สวีฉิงเทียนมีสีหน้ามิพอใจขึ้นมาทันที หลังจากสบตากับนักพรตฉางเสวียนแล้ว จึงก้มหน้าลง กวาดสายตามองหมากตายที่อยู่บนกระดาน
วันนี้นับตั้งแต่เริ่มดวลหมากจนถึงตอนนี้ เขากลับพ่ายแพ้และเสียสมบัติวิญญาณชั้นยอดไปแล้วมากกว่าสิบชิ้น
หากยังแพ้ต่อไปอีก มิแน่ว่าสมบัติวิญญาณที่เขาพกติดตัวมาหลายสิบชิ้นอาจจะต้องเสียเดิมพันจนหมดก็เป็นได้
อีกทั้ง การประลองระหว่างศิษย์สองสำนักยังจัดต่อเนื่องกันอีกหลายวัน สมบัติวิญญาณที่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงพกมา เกรงว่าคงจะตกอยู่ในมือของเหอฉางเสวียนเป็นแน่
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูเหมือนเหอฉางเสวียนจะเข้าใจปริศนาของกลหมากสี่มังกรพ่นวารีเสียแล้ว แม้เขาจะรู้วิธีเปลี่ยนแปลงกลหมากสี่มังกรพ่นวารีถึง 6 รูปแบบ แต่ก็อดที่จะรู้สึกกังวลมิได้
‘จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้ ต้องหาวิธีรับมือให้ได้เสียก่อน’
ทันใดนั้นสวีฉิงเทียนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด แววตาพลันเปล่งประกายบางอย่างขึ้นมา
‘จริงสิ ตอนนี้ข้ามีศิลาสื่อจิตอยู่ 1 ก้อน ส่วนศิลาสื่อจิตอีกก้อนเขาได้มอบให้กับหนานกงเสวียนจีเมื่อมินานมานี้’
เพียงแค่เพ่งสมาธิไปที่ศิลาสื่อจิต คนที่เป็นเจ้าของศิลาสื่อจิตทั้งสองก้อนก็จะสามารถสื่อสารกันได้แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเพียงใด
หรือใช้เพื่อขอความช่วยเหลือก็ได้
และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่สวีฉิงเทียนมอบศิลาสื่อจิตอีกก้อนให้แก่หนานกงเสวียนจี
เพราะตอนที่เขามอบศิลาสื่อจิตให้ไปนั้น ได้สัญญาว่าหากต่อไปหนานกงเสวียนจีพบกับอันตรายเมื่อใด ผู้กล้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจะบุกไปช่วยหนานกงเสวียนจีทันที
หลังได้รู้ถึงความอัศจรรย์ของศิลาสื่อจิต หนานกงเสวียนจีจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี
แต่บัดนี้เพื่อหน้าตาของตนเองและของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง สวีฉิงเทียนจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากหนานกงเสวียนจี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน