ตอน บทที่ 13 คุยกันแบบเปิดอก จาก เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 13 คุยกันแบบเปิดอก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง ที่เขียนโดย เฟยจูจู เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เฉิงเทียนหยวนก็พาเธอกลับไปที่โรงแรม
"ได้งานทำแล้ว สองวันนี้พยายามหาบ้านย้ายเข้าไปให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้เที่ยงฉันจะลางาน ช่วยเธอดูแถวๆ สำนักพิมพ์"
เซวียหลิงแอบดีใจ แล้วพูดขึ้น "ได้เลย! "
เซวียหลิงนึกถึงจักรยานแล้วพูดขึ้น "ไม่รู้แถวนี้มีจักรยานมือสองขายไหม? ฉันอยากซื้อสักคัน จะได้ขี่ตอนไปทำงานกับเลิกงานได้ เข้าออกก็สะดวกขึ้น"
เฉิงเทียนหยวนพยักหน้า เอ่ยเตือน "จักรยานราคาไม่ถูก มือสองส่วนใหญ่ก็ต้องใช้ประมาณสี่สิบกว่าหยวน"
ก่อนหน้านี้เขาไปชำระเงินที่โรงแรม เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าเธอจ่ายตรงเวลาทุกวัน
ไม่กี่วันก่อนเธอควักเงินสองร้อยช่วยจ่ายหนี้ครอบครัวเฉิงเปียว แถมควักเงินอีกห้าร้อยหยวนซื้อที่ดินรกร้างยี่สิบหมู่ภายในรวดเดียว
ก็ไม่รู้เธอมีเงินที่ตัวเท่าไรกันแน่ ทำไมใช้จ่ายไม่ยับยั้งชั่งใจแบบนี้?
ครอบครัวเฉิงเทียนหยวนยากจนตั้งแต่เด็ก จะทำอะไรก็วางแผนรอบคอบ เห็นภรรยาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเตือนตัวเอง
"เธอเพิ่งเริ่มทำงาน ตอนนี้ต้นเดือนอยู่ อย่างน้อยต้องรอหนึ่งเดือนถึงได้รับค่าจ้าง ต่อไปเช่าบ้านก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ต้องประเมินให้รอบคอบหน่อยนะ"
เซวียหลิงฟังจบก็หัวเราะคิกคัก พูดขึ้น "ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ดีแก่ใจ วันมะรืนฉันจะไปที่ทำการไปรษณีย์รับเอกสารงานแปลที่เพื่อนฉันส่งมา จะรีบตั้งใจหาเงิน"
ชาติที่แล้วเธอบริหารบริษัทใหญ่ ถึงจะไม่ใช่องค์กรระหว่างประเทศ อย่างน้อยก็เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ขนาดก็ไม่เล็กเลย
ตอนนี้ควรใช้ยังไง วางแผนการทำงานยังไง เธอประเมินไว้หมดแล้ว
"พี่หยวน นายไม่ต้องห่วง! เมื่อก่อนฉันก็เคยยากจน รู้ว่าใช้เงินมั่วๆ ไม่ได้ แนวคิดการใช้เงินของฉันรู้ว่าควรใช้จ่ายกับอะไร อะไรที่ไม่ควรใช้ก็ไม่สิ้นเปลืองอย่างเด็ดขาด"
มุมปากเฉิงเทียนหยวนยกขึ้น แล้วตอบ "อืม" เรียบๆ
ไม่คิดเลยว่าแนวคิดการใช้เงินของเธอกับตนจะคล้ายกันมาก!
เมื่อคิดอย่างรอบคอบ ถึงแม้เธอจะใช้ทีละห้าร้อยหยวน แต่เรื่องอื่นเธอก็ประหยัดเท่าที่ประหยัดได้ สองสามวันนี้นอกจากอาหารสามมื้อแล้ว เธอก็แทบไม่ซื้ออะไรเลย
พวกเพื่อนร่วมงานสาวของเขา แค่มีเวลาก็จะคุยกันเรื่องซื้อเสื้อผ้าใหม่ซื้อขนมกิน แม้แต่น้องสาววัยสิบกว่าที่บ้านเขา ตราบใดที่ในกระเป๋าเงินมีเงินอยู่นิดหน่อย ก็หยุดกินขนมไม่ได้
แต่เธอไม่ทำแบบนั้น นอกจากอาหารสามมื้อ ในห้องก็ไม่มีของหวานพวกเม็ดแตงหรือขนมโก๋ถั่วเขียวเลย
ดูเหมือน เมื่อก่อนเขาจะเข้าใจเธอผิดไปเป็นส่วนใหญ่
แต่มีบางส่วนที่เธอพูดผิดไป เมื่อก่อนเธอเคยจนที่ไหน? หมายถึงสมัยเด็กที่อยู่ปากซอยต้าหูถงเหรอ?
จริงๆ แล้ว ถึงแม้ลุงเซวียจะพาภรรยาและลูกสาวมาทำงานช่างที่อำเภอห่างไกล ในตอนแรกโรงงานปุ๋ยเคมีก็ไม่ได้ปฏิบัติแย่กับเขา ตอนนั้นเขาอายุมากกว่าเธอ แนวคิดเรื่องการใช้เงินก็ชัดเจนกว่า
ตอนนั้นค่าจ้างลุงเซวียมากกว่าพ่อเขาสามเท่า อาหารและที่พักของตระกูลเซวียก็ถือว่าอยู่ระดับคนรวย
ได้ยินมาว่าภายหลังย้ายกลับไปเมืองหลวง ไม่นานลุงเซวียก็ทำธุรกิจทางทะเล หาเงินได้ไม่น้อย
เธออยู่เมืองใหญ่อย่างเมืองหลวงมาตั้งแต่เด็ก เทียบกับสภาพแวดล้อมอำเภอแล้ว จะต้องรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ที่จริงแล้ว ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
ชาติที่แล้วเซวียหลิงเคยเปิดบริษัทกับพวกคนเลว คนเลวฉวยโอกาสตอนเธอไม่ระวัง ขโมยเงินทุนทั้งหมดกับเงินชำระสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทไปหมด ทิ้งบริษัทที่เป็นหนี้ก้อนโตให้เธอ
ช่วงเวลานั้น เธอยากจนถึงขนาดสามมื้อกินได้แค่หมั่นโถวและน้ำต้มสุก คนเดียวทำงานสำหรับห้าหกคน บางครั้งหนึ่งวันนอนไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ
ด้วยความขยันหลายปี เธอก็ชำระหนี้หมดในที่สุด ทำให้บริษัทขาดทุนกลายเป็นกำไร ผ่านความยากลำบากมาได้
เซวียหลิงหมายถึงช่วงเวลานั้น อธิบายว่าเธอคือคนที่อดทนผ่านความยากลำบากมา จะกล้าใช้เงินตามอำเภอใจได้ที่ไหน
ผอ.หลิวก็มาถึงตรงเวลา ถามเรื่องการโอนงานของเซวียหลิงกับหวังชิงว่าทำถึงไหนแล้ว อาทิตย์หน้าสามารถเผยแพร่ข้อมูลคอลัมน์ภาษาอังกฤษได้ตรงเวลาหรือไม่
เซวียหลิงตบบ่าหวังชิงข้างกาย แล้วยิ้มตอบ "พี่หวังชิงส่งข้อมูลให้ฉันแล้วค่ะ แถมสอนเคล็ดลับมากมายให้ฉันด้วย ฉันอ่านคอลัมน์ล่าสุด แล้วก็ทำสรุปแล้ว การเตรียมเบื้องต้นสำหรับคอลัมน์อาทิตย์หน้าเสร็จแล้วด้วย เชิญท่านผอ.ดูให้หน่อยค่ะ"
ผอ.หลิวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ พูดขึ้น "วัยรุ่นกระปรี้กระเปร่าดีจัง ทำงานได้วันเดียว ก็ทำได้เยอะขนาดนี้! ดี! ดีมาก! หวังชิงเป็นหนึ่งในวัยรุ่นยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักพิมพ์เรา ดีแล้วที่เรียนรู้กับเธอ"
หวังชิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเขินอาย เหลือบมองเซวียหลิงเงียบๆ ในใจยากที่จะซ่อนความซาบซึ้ง
ที่จริงแล้ว เธอรู้แค่คำศัพท์ไม่กี่คำ คอลัมน์ไม่กี่ฉบับก่อนหน้านี้คือโดนบีบบังคับให้ทำงานไม่ถนัด ทำออกมาแล้วรู้สึกพอแค่ไปวัดไปวา
เดิมทีคิดว่าผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอย่างเซวียหลิงมาถึง เธอจะต้องถูกเปรียบเทียบอย่างหนักแน่ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเซวียหลิงจะถ่อมตัวขนาดนี้ แถมจงใจชมตนต่อหน้าผอ.ด้วย
เธอมีนิสัยขี้อาย และไม่มีความมั่นใจ ปกติอยู่ที่สำนักพิมพ์ก็แค่ทำงานตัวเองให้ดีด้วยความหวั่นเกรง ผอ.ชมตนน้อยครั้งมาก เธอยังคิดอีกว่าผอ.ไม่เห็นความสำคัญของตนเลย
จู่ๆ ผอ.บอกว่าตนเป็นวัยรุ่นที่ดี แถมให้เซวียหลิงเรียนรู้กับตน----รู้สึกละอายใจจัง!
แต่ในใจเธอสุขใจมากกว่า
เซวียหลิงพูดแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้นำพึงพอใจ ยังฉวยโอกาสได้หัวใจของหวังชิงเพื่อนร่วมงานคนนี้อีกด้วย
ต่อไปในอนาคต ต้องได้รับความช่วยเหลือและการเตือนจากหวังชิงเธอถึงจะมีชีวิตอย่างราบเรียบปลอดภัย----นี่คือสิ่งที่ต้องพูดต่อภายหลัง
ตอนกลางวัน อาหารกลางวันมาเสิร์ฟล่วงหน้า ผอ.ให้ทุกคนไปกินข้าวกันก่อน
เซวียหลิงนึกถึงคำพูดเฉิงเทียนหยวนเมื่อวาน ในใจลังเลว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อช่วยหาบ้านหรือเปล่า มองกล่องข้าวอะลูมิเนียมร้อนระอุสองกล่อง ก็รู้สึกไม่อยากอาหารชั่วคราว
"พี่หวังชิง พวกคุณกินกันไปก่อนนะ ฉันจะออกไปหาใครบางคน ไว้กลับมาเจอกันนะ!"
เธอยัดกล่องข้าวเข้าไปในกระเป๋าลายทหาร สวมรองเท้าสานพลาสติก แล้วรีบออกไปจากสำนักพิมพ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง