เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 22

สรุปบท บทที่ 22 ความคลุมเครือที่คาดไม่ถึง: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง

บทที่ 22 ความคลุมเครือที่คาดไม่ถึง – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดย เฟยจูจู ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 22 ความคลุมเครือที่คาดไม่ถึง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เธอไม่ได้เพิกเฉยต่อคำว่า 'ต่อจากนี้' ที่ออกมาจากปากเขา

จากช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ทำความรู้จักกัน ท่าทางของเขาที่มีต่อเธอค่อนข้างจะห่างเหิน

นับจากคืนนั้นที่เธอสารภาพรักต่อเขา ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทสนมกับเธอมากกว่าเดิม อย่างเช่นการพูดจาล้อเล่นที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน และคำสัญญาที่อบอุ่นเมื่อสักครู่นี้

ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ดี

ในใจของเซวียหลิงรู้สึกอิ่มเอม เธอกินอาหารอย่างมีความสุข

"พี่หยวนคะ กะหล่ำปลีพวกนี้มันกรอบมากเลยค่ะ อร่อยจริงๆ" เธอกัดเข้าไปคำหนึ่งจากนั้นก็รีบหยิบอาหารในจานส่งไปให้เฉิงเทียนหยวนกิน

เฉิงเทียนหยวนเพิ่งจะกลืนหมั่นโถวเข้าไปคำหนึ่ง เมื่อเธอยื่นกับข้าวมาเช่นนั้น โดยสัญชาตญาณเขาจึงอ้าปากแล้วกลืนเขียวกะหล่ำปลีลงไป ฟันของเขากัดไปถูกตะเกียบของเธอด้วย

หืม?

เธอกำลังป้อนเขาเหรอ?

หลังได้สติกลับคืนมา ใบหูของเขาก็แดงเรื่อแล้วรีบกัดหมั่นโถวเข้าไปคำโต

"......อืม หวาน......อร่อยมากครับ"

เซวียหลิงหัวเราะคิกคัก แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเคอะเขินของเขาแล้วพยักหน้าให้ความร่วมมือ "ถ้าอร่อยก็ทานให้เยอะๆ นะคะ"

พวกเขาทั้งสองคนร่วมกันรับประทานอาหารในบ้านใหม่ด้วยกันครั้งแรกอย่างมีความสุข

หลังรับประทานอาหารเสร็จ เฉิงเทียนหยวนก็ทำการจัดเก็บโต๊ะอาหารแล้วเดินถือจานชามเข้าไปล้างด้วยตนเอง

เซวียหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายเบาๆ ว่า "นายเป็นคนทำอาหาร จะให้ล้างจานอีกได้ยังไง ฉันล้างเองค่ะ"

เฉิงเทียนหยวนส่ายหน้าแล้วพูดว่า "ฉันเก็บเรียบร้อยทุกอย่างแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ สองวันมานี้เธอก็เหนื่อยมาก นั่งพักก่อนดีกว่า แค่จานชามไม่กี่ใบไม่ได้ยากเลย"

แม้ว่าเขาจะเกิดในชนบท ครอบครัวมีผู้ชายเป็นหลักเมื่ออยู่ข้างนอก ผู้หญิงเป็นหลักเมื่ออยู่ในบ้าน งานบ้านเหล่านี้ควรที่จะเป็นผู้หญิงซึ่งเป็นคนทำ แต่สำหรับครอบครัวของเขาแตกต่างกัน

ตั้งแต่พ่อเสียแขนไป แม่ก็ต้องดูแลทั้งเรื่องภายในบ้านและนอกบ้าน

ตัวเขากลัวว่าแม่จะเหนื่อยจนเกินไปจึงได้ช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เด็ก

ในสายตาของเขานั้น งานบ้านไม่ว่าจะหนักเบาเพียงใด หากทำได้ก็ควรช่วยทำไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกชายหญิง

เซวียหลิงก้าวเข้ามาด้านหน้าพูดว่า "ไม่เอาค่ะ ถ้านายล้างจานฉันจะเช็ดให้เอง"

ท่าทางการล้างจานของเฉิงเทียนหยวนดูเป็นชำนาญและคล่องแคล่ว เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า "ทำไมไม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนล่ะ หน้าต่างตรงห้องนั่งเล่นลมแรงดีน่าจะเย็นสบาย"

"ไม่ล่ะค่ะ" เซวียหลิงยิ้มขึ้นแล้วพึมพำว่า "ฉันอยากอยู่กับนายที่นี่ อยู่เป็นเพื่อนกัน"

สายตาของเฉิงเทียนหยวนสั่นคลอนเล็กน้อย เขายื่นชามที่ล้างเสร็จแล้วไปให้เธอ จากนั้นหยิบผ้าขี้ริ้วที่ไม่ได้ดูใหม่เท่าไรนัก ซักล้างให้สะอาดแล้วส่งไปให้เธอ

"ระวังอย่าทำแตกนะ"

ไฟในห้องครัวดูสลัวเล็กน้อย เขาหันหลังให้กับแสงไฟ เซวียหลิงมองไม่เห็นท่าทางการแสดงออกของเขา แต่ตอนที่เขาเอ่ยวาจาออกมานั้นดูเหมือนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงไม่ได้เย็นชาแข็งทื่อเหมือนตามปกติ ทว่าดูอ่อนนุ่มด้วยความปีติยินดีเล็กน้อย ช่างน่าฟังเหลือเกิน

เธอรีบตอบรักอย่างร่าเริงว่า "แหม รู้แล้วล่ะค่ะ"

เมื่อล้างชามเสร็จเขาก็ยื่นมาให้เธอ

เธอรับไปแล้วเช็ดออกจนแห้ง ก่อนจะวางจานเอาใส่ไว้ในที่คว่ำจานอันใหม่

แม้ว่าทั้งสองคนจะยังไม่เคยทำงานอะไรร่วมกันมาก่อน แต่ก็ให้ความร่วมมือกันได้อย่างดี ทำไปทำมาพวกเขาก็สามารถเข้ากันได้อย่างคล่องแคล่ว เขาล้างจานเร็ว แต่เธอก็ไม่ช้า พวกเขาล้างจานชามตะเกียบเช็ดจนแห้งในเวลาอันรวดเร็ว

เฉิงเทียนหยวนปิดช่องระบายอากาศใต้เตาถ่านอย่างแน่นหนา จากนั้นดับไฟข้างในไปกว่าครึ่ง ก่อนจะนำกาน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วยกขึ้น รินน้ำร้อนใส่ลงไปในกระติกเก็บความร้อน

"เอาล่ะเสร็จแล้วครับ ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ น้ำในกาน้ำร้อนนี้เพียงพอสำหรับเราที่จะดื่มในตอนกลางคืน ไม่ต้องลงมาอีกแล้ว"

เซวียหลิงพยักหน้าแล้วถามว่า "ประตูข้างนอกปิดสนิทแล้วหรือยังคะ"

เฉิงเทียนหยวนตอบว่า "ก่อนที่จะทานข้าว ฉันปิดไว้เรียบร้อยแล้วครับ"

"ถ้าเงินหมดเราก็ช่วยกันหา จะทำหน้าเศร้าทำไมล่ะครับ มาสิ มานี่หน่อย ช่วยฉันจับตะปูตรงนี้ที"

เซวียหลิงโยนเสื้อที่อยู่ในมือของตนลงไปบนเตียง หลังจากนั้นเดินตรงมาอย่างว่าง่าย

"ได้เลย จับตรงไหนเนี่ย?"

เฉิงเทียนหยวนเอี้ยวร่างกายอันกำยำใหญ่โตของเขามาแล้วชี้ไปตรงตะปูที่เต็มไปด้วยสนิม

"อันนั้นครับ เธอจับตรงหัวมันนะ แล้วเดี๋ยวผมจะขันน็อตด้านหลัง มันจะได้ไม่ขยับเขยื้อน"

เซวียหลิงฟังเข้าใจและรีบยื่นมือข้างขวาออกไปจับมันเอาไว้แน่น

เฉิงเทียนหยวนใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ลิ้นชัก อีกข้างหนึ่งจับไปที่ตัวน็อต ท่าทางของเขาดูมีพละกำลังมาก

เซวียหลิงรู้สึกว่าน็อตในมือของตนขยับเขยื้อนไป จึงสะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นตะครุบไปที่น็อตนั้นแล้วคว้ามันเอาไว้

"อุ๊ย!"

เดิมทีทั้งสองก็อยู่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกัน ทว่าจู่ๆ เธอพุ่งเข้ามาเช่นนี้จึงทำให้ร่างกายของเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงเทียนหยวนพอดี

เขากำลังยุ่งอยู่กับการขันน็อต และอยู่ในท่านั่งยองๆ เมื่อเธอตะครุบเข้ามาแบบนี้จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจควบคุมได้ ล้มหงายหลังลงไปก้นกระแทกพื้น

แต่ว่าปฏิกิริยาของเขาก็ค่อนข้างรวดเร็ว วินาทีที่เขาล้มลงไปนั้นก็ได้เอื้อมมือมาโอบปกป้องร่างกายอันบอบบางและอ่อนนุ่มของเซวียหลิงเอาไว้ได้ในทันทีตามสัญชาตญาณ

ชั่ววินาทีนี้ เขาสัมผัสได้ว่าจมูกของตนได้กลิ่นอันหอมละมุน ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของตนก็ทั้งนุ่มทั้งนิ่ม บัดนี้ร่างนั้นแนบชิดสนิทอยู่ที่ทรวงอกอันแข็งแกร่งของเขา

แต่ร่างของสาวน้อยอรชรอ้อนแอ้นถาโถมเข้ามาตรงบ่าของเขา ริมฝีปากอ่อนนุ่มเรียวบาง สัมผัสเข้าให้ตรงคอของเขาพอดิบพอดี

วินาทีนี้ ช่วงเวลาได้หยุดลง

อ้อมกอดของเขาคือร่างของสตรีอันอ่อนโยนนิ่มนวล ที่ขอของเขาเปียกชุ่มและอุ่นร้อน เหมือนเฉิงเทียนหยวนจะรู้สึกถึงเสียงระเบิดดังตู๊มอยู่ในสมองของเขา บรรยากาศภายนอกรอบร่างกายดูร้อนผ่าวไปหมด ความเร่าร้อนถาโถมเข้าใส่ หัวใจของเขาเต้นแรงโครมครามไม่เป็นจังหวะ ดูเหมือนว่าดวงใจดวงนั้นจะพุ่งทะยานออกมาจากลำคอ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง