หลินชงมักจะเดินทางมาหาเซวียหลิงสม่ำเสมอ เขาพาเธอออกไปข้างนอกเที่ยวเล่นและซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ แต่ละวันเขาจะแต่งบทกวีให้เธอด้วย
เขาบอกว่านับแต่นี้เป็นต้นไปทุกวันเขาจะแต่งบทกวีให้เธอวันละบท แล้วส่งไปยังสำนักหนังสือพิมพ์เพื่อตีพิมพ์เป็นหนังสือ ไว้รำลึกถึงความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างเขากับเธอ
แม้ว่าตอนนั้นเซวียหลิงจะแต่งงานแล้ว แต่ในด้านของความรักยังเปรียบเสมือนกระดาษขาว ถูกเขาเกลี้ยกล่อมหยอกล้อเสียจนคล้อยตาม และในที่สุดเธอก็นำเงินสินสอดทองหมั้นหนีออกไปจากหมู่บ้านตระกูลเฉิง
หลินชงหลอกเธอว่าเขาจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีค่าเล่าเรียน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องพักการเรียน
เพื่ออนาคตของเธอและเขา เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากแต่งงานกันแล้ว เขาจำเป็นจะต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ
เซวียหลิงจึงรีบนำสินสอดทองหมั้นของตนเองประกอบกับเงินที่บิดาโอนมาให้ สุดท้ายหลังรวมกันแล้วได้มากถึงสามพันหยวน ส่งไปให้เขาเพื่อช่วยให้เขาได้เรียนต่อ
เงินสามพันหยวนในสมัยนั้นถือว่าเป็นมูลค่ามหาศาล
หลินชง นำเงินจำนวนมหาศาลนี้จากไปแล้วทิ้งเธอเอาไว้ที่เอี๋ยนเฉิงทางใต้เพียงลำพัง
ในตอนนั้นเธอกลัวว่าเฉิงเทียนหยวนจะมาตามหาเธอ เธอจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปที่ทิศใต้เอี๋ยนเฉิงเพื่อที่จะได้ห่างไกลกับเขตเหนือ
เธอไม่กล้าพาหลินชงกลับไปที่เมืองหลวงเกรงว่าพ่อแม่พบเข้าจะตำหนิเธอจะแย่
อีกอย่าง หลังจากที่เฉิงเทียนหยวนรู้ที่อยู่ของเธอ และพบว่าเธอไม่อยู่ คงจะต้องไปที่เมืองหลวงเพื่อไปหาพ่อแม่ของเธอแน่นอน
หลังจากที่หลินชงเดินทางจากไปแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตเพียงลำพังในชานเมืองของเอี๋ยนเฉิง
ในตอนนั้นเธอไม่เคยเดินทางออกจากบ้านมาก่อน แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพังในเมืองอันไม่คุ้นเคยเช่นนี้
เงินที่เหลืออยู่เพียงสิบกว่าหยวนก็ลดน้อยลงทุกวัน เธอต้องพยายามทำงานเพื่อให้มีค่าอาหารสามมื้อในแต่ละวัน
เธอมีความรู้ด้านภาษา ดังนั้นในไม่ช้าก็ได้ทำงานในบริษัทการค้าต่างประเทศ ทำให้ชีวิตค่อยๆ ดีขึ้น
คิดไม่ถึงว่าหลินชงที่จากไปจู่ๆ จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บอกว่าเขาต้องการเงินไปลงทุนในการวิจัยวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่ดีมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเงินทุนช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
เซวียหลิงรู้สึกสงสารที่เขามีความสามารถแต่ไม่อาจจะพัฒนาความสามารถนั้นได้ จึงได้นำเงินเดือนทั้งหมดของเธอให้แก่เขาอีกทั้งยังไปเบิกเงินเดือนล่วงหน้ากับบริษัทมาอีกหนึ่งเดือน
ใครจะคิดถึงว่าหลินชงพูดว่ายังไม่พอ อย่างน้อยต้องมีเงินห้าพันหยวน
เธอกัดฟันโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ที่อยู่เมืองหลวงแล้วยืมเงินพวกเขามาสี่พันหยวน
สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือ พ่อแม่ของเธอยังไม่รู้ว่าเธอเดินทางออกมาจากหมู่บ้านตระกูลเฉิงแล้ว พวกเขาได้แต่เอ่ยถามว่าเธอมีการเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่
เธอไม่กล้าพูดความจริง ดังนั้นจึงได้บอกเพียงว่าต้องการเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนทำการค้าหวังว่าพ่อจะให้เธอ
เมื่อพ่อเซวียได้ยินว่าเธอต้องการเงินจำนวนมากขนาดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย เขาพยายามเอ่ยถามว่าเป็นการค้าประเภทใด และเอ่ยเตือนว่าเธอยังอ่อนประสบการณ์ อย่าได้ถูกคนอื่นหลอกเอา
ตัวเธอทั้งกลัวและวิตกกังวล เธอจึงทำได้เพียงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วพูดว่า ถ้าไม่ให้เธอยืม ต่อไปนี้เธอจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว
พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็โมโหเสียวางโทรศัพท์เธอลง
ถึงจะโกรธ แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อแม่ก็ยังเห็นลูกเป็นดุจดั่งดวงใจ ไม่กี่วันต่อมาก็ได้โอนเงินสามพันหยวนมาให้เธอ
หลังจากนั้นสี่วันเธอไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับเงิน ประกอบกับเงินในมือที่มีอยู่หนึ่งพันกว่าหยวน เธอนำเงินทั้งหมดนี้ไปให้หลินชง
ใครจะคิดถึงว่าเจ้าหมอนั่นช่างโลภมากเหลือเกิน เขาพูดด้วยสีหน้าอันเศร้าใจว่ายังมีอีกแปดร้อยหยวนที่ขาดไป ให้เธอช่วยเขาคิดหาวิธีหน่อย
เซวียหลิงคิดว่าหากจะหารายได้ก็ควรจะมีการลงทุน ดังนั้นเธอจึงกัดฟันไปให้เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือ
น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมงานของเธอแต่ละคนมีเงินเดือนเพียงแค่สองร้อยหยวน พวกเขาต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทุกคนไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินแปดร้อยหยวนที่มากมายขนาดนั้น
ต่อมา ตอนที่เธอกำลังสิ้นหวังก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแนะนำให้เธอรู้จักกับเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง เป็นเจ้าถิ่นของเอี๋ยนเฉิง ยืมเงินจำนวนแปดร้อยหยวนมา
หลินชงนำเงินจากไปอย่างมีความสุข
ด้วยเหตุนี้เองตอนกลางวันเธอต้องทำงานประจำ ตอนกลางคืนต้องทำงานเสริม เธอพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบที่กู้เอาไว้
แต่ละวันเธอกินอยู่อย่างประหยัด บางครั้งอาหารเช้าเธอก็ไม่อยากกินเพราะความเสียดาย แต่ละวันได้แต่พยายามหาเงิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง