เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 31

สรุปบท บทที่ 31 เกวียนลารับส่ง: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง

อ่านสรุป บทที่ 31 เกวียนลารับส่ง จาก เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดย เฟยจูจู

บทที่ บทที่ 31 เกวียนลารับส่ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายประวัติศาสตร์ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย เฟยจูจู อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ที่แท้เขานำเงินที่เธอหามาอย่างยากลำบากไปดื่มสุราและหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงพวกนี้ เรียนมหาวิทยาลัยเหรอ? ลงทุนการวิจัยเหรอ? เขาโกหกเธอทุกอย่าง!

หลินชงรู้สึกอายและรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก "หลิงหลิงเธอฟังฉันอธิบายก่อน เธอฟังฉันอธิบายก่อนสิ!"

มุมปากของเธอยิ้มขึ้น จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์ที่อยู่ด้านข้างมาขวดหนึ่ง "เพล้ง!" ฟาดไปที่ศีรษะของเขาก่อนจะหันหลังกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว

หลินชงโมโหโกรธจัด เขากุมหน้าผากที่เลือดนองแล้วตะโกนด่าทอเธอ

"คิดว่าตัวเองดีนักหรือไงหา! เสแสร้งทำเป็นผู้หญิงไร้เดียงสา แกก็เป็นเพียงแค่รองเท้าขาดๆ ที่เฉิงเทียนหยวนมันไม่ต้องการ ฉันยินดีที่จะหยิบรองเท้าขาดๆ แบบแกขึ้นมาใส่ แกควรที่จะต้องตามใจฉัน!"

"พ่อแม่ของแกรู้แล้วว่าแกสวมเขาให้กับไอ้เฉิงเทียนหยวนนั่นอย่างหน้าไม่อาย และโมโหเสียจนต้องนอนโรงพยาบาล พ่อแกบอกว่าจะไล่แกออกจากบ้าน ตอนนี้แกคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูตระกูลเซวียอีกเหรอ?"

"เซวียหลิง แกถูกขับไล่ออกจากบ้านแล้ว ส่วนไอ้เฉิงเทียนหยวนนั่นไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ แกรอเถอะ มันเกลียดแกเข้าใส่อย่างแน่นอน!"

เธอคิดว่าเขาพูดเรื่องจริง และรู้สึกผิดอยู่ในใจต่อพ่อแม่มาก ยิ่งรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้นกับเฉิงเทียนหยวน

ไม่รู้ว่าเธอเดินทางออกจากโรงแรมนั้นไปได้อย่างไร เธอเดินไปตามถนนเย็นยะเยือก เดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งค่ำมืดทันใดนั้นเธอก็พบว่าเธอกลับมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของเธอเอง

ภายในบ้านมีแสงไฟส่องสว่าง ในความทรงจำมันช่างอบอุ่นแต่เธอกลับไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไป

เธอทำผิดต่อพ่อแม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ อีกทั้งยังนำเงินที่พ่อแม่ส่งไปให้เลี้ยงดูหมาป่า......

เหตุการณ์ในอดีตผุดเข้ามาในความคิดของเธอ มันเนิ่นนานราวกับผ่านไปชั่วชีวิต แต่ก็ทำร้ายหัวใจเธอเจ็บปวดอย่างชัดเจน

เซวียหลิงมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เต็มไปด้วยทิวทัศน์ชานเมือง น้ำตาที่หางตาของเธอก็อดไม่ได้จะไหลริน

ในชาติที่แล้วเธอได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสจากผู้ชายไร้หัวใจคนนั้น ในชาตินี้เธอจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีกแน่นอน เธอไม่มีวันทำแบบนั้นแน่

เฉิงเทียนหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเธอตกอยู่ในภวังค์ตั้งแต่วางสาย ดวงตาแดงเรื่อเล็กน้อย จึงคิดว่าเธอคงจะคิดถึงพ่อตาแม่ยายมากแน่ๆ

เมื่อคิดไปว่าเธอแต่งงานมาไกลบ้านไกลเมืองอยู่กับเขาตั้งแต่อายุยังน้อย และระยะทางก็ห่างไกล เป็นการยากที่จะได้พบแน่พ่อแม่ของเธอ เขาก็รู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย

เขาเอื้อมมือออกไปเงียบๆ แล้วตบไหล่ของเธอเบาๆ

"ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ หลังจากนี้ทุกอาทิตย์ฉันจะพาเธอมาโทรศัพท์กลับบ้าน รอให้ฉันมีเงินสักก้อนหนึ่ง วันตรุษจีนฉันจะพาเธอไปที่เมืองหลวง"

เซวียหลิงตกตะลึง เธอเช็ดน้ำตาจากหางตาของเธอแล้วยิ้มขึ้นเบาๆ

"......ค่ะ"

แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะพูดไม่ค่อยเก่งนัก เขาไม่รู้จักการใช้คำที่ค่อนข้างอ่อนหวานมาปลอบใจเธอ แต่ทุกประโยคที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริงและเป็นประโยคที่อบอุ่นหัวใจ

หมู่บ้านตระกูลเฉิงอยู่ไม่ไกลจากอำเภอหรงหวาเท่าไรนัก ขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง

เฉิงเทียนหยวนถือกระเป๋าสีเขียวทหารขนาดใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งจูงเธอลงจากรถ

"เราต้องเดินอีกสิบนาที......"

"พี่!" น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน

เฉิงเทียนหยวนและเซวียหลิงหันกลับไปดูที่ด้านหลัง พบว่าเฉิงเทียนฟางนั่งอยู่บนเกวียนซึ่งใช้ลาลากในบริเวณที่ไม่ไกลออกไปนัก และกำลังโบกมือให้กับทั้งสอง

ผู้ขับเกวียนคือลุงคนหนึ่ง เขายิ้มกว้างเผยถึงฝันสีเหลือง

"อาหยวน หนูสะใภ้ใหม่ รีบมาที่นี่เร็ว เรามารับทั้งสองกลับบ้าน!"

เฉิงเทียนหยวนยิ้มขึ้นสุดหัวใจแล้วแนะนำว่า "นี่คือลุงชาง เป็นลุงจากในตระกูลเราเดียวกันคนหนึ่ง เธอเรียกเขาว่าลุงชางก็ได้"

เซวียหลิงรีบทักทายขึ้นด้วยท่าทางอันอบอุ่น "สวัสดีค่ะลุงชาง"

เฉิงเทียนฟางที่อยู่ด้านข้างเบ้ปากแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า "แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นเสี่ยวกูจื่อนะ ทำไมถึงไม่เรียกฉัน? ฉันก็ตัวโตเบ้อเร่อยืนอยู่ตรงนี้ไม่เห็นหรือไง"

"เสี่ยวกูจื่อ!" เซวียหลิงพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นไม่เห็นแก่ตัวด้วยน้ำเสียงอันดัง

เฉิงเทียนฟางโมโหเสียจนส่งเสียงเหอะออกมา เธอโกรธมาก "ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!"

ลุงชางไม่รู้สึกเกรงกลัวเขายิ้มขึ้น

"ลุงเป็นลุงในตระกูล แก่กว่าพ่อของเธออีก จะตำหนิติเตียนสักเล็กน้อยก็ใช่ว่าไม่ได้ หลายปีมานี้โชคดีที่พี่ชายของเธอขยันขันแข็ง ที่บ้านจึงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องตั้งใจฟังคำสั่งสอนของเขา อย่าทำให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง ชีวิตจึงจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น"

เฉิงเทียนฟางจะอดทนต่อการถูกตำหนิเช่นนี้ได้อย่างไร เธอตะโกนพูดขึ้นว่า "พูดจบหรือยัง ถ้ายังพูดอีกฉันจะไม่นั่งรถนี่แล้วนะ!"

"อาฟาง!" เฉิงเทียนหยวนหันมาจ้องแล้วกระซิบว่า "อย่าเสียมารยาทแบบนี้"

เฉิงเทียนฟางไม่กลัวใคร แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายของเธอสีหน้าเปลี่ยนไป ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธจัด เธอทำได้เพียงหดคอลงมาแล้วมุดศีรษะลงไป

เซวียหลิงรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างจะอึดอัด เธอจึงหยิบเยว่ปิ่งไส้ถั่วเขียวออกมาจากกระเป๋าสีเขียวทหารแล้วยื่นส่งไปให้เฉิงเทียนฟาง

"เสี่ยวกูจื่อ พี่ให้"

เฉิงเทียนฟางเหลือมองไป ส่งเสียง "หึๆ" ออกมาแล้วรีบคว้าไปกิน

เซวียหลิงหยิบออกมาอีกสองชิ้นอย่างรวดเร็วแล้วส่งไปให้ลุงชางที่อยู่ข้างหน้า

ในตอนแรกชายชราปฏิเสธที่จะรับมันเอาไว้ บอกว่าแค่มองดูก็รู้ว่ามันเป็นสินค้าราคาแพงของคนในเมือง เขาไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้

เซวียหลิงอธิบายว่า "ขนมนี้ที่ทำงานของฉันแจกให้ค่ะ ไม่ได้ใช้เงินซื้อมา"

ลุงชางจึงได้ยิ้มแล้วรับมันไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

"ขอบใจมากหนูสะใภ้ใหม่ของเรา ลุงจะเอากลับไปให้ภรรยาลองชิมดูด้วย เมื่อคราก่อนหล่อนได้กินลูกกวาดตอนแต่งงานที่หนูให้มาและเอ่ยชมเป็นเวลาหลายวันทีเดียว"

เกวียนลาดำเนินไปด้านหน้าช้าๆ ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านตระกูลเฉิง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง