อ่านสรุป บทที่ 36 เพื่อนสนิท? จาก เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดย เฟยจูจู
บทที่ บทที่ 36 เพื่อนสนิท? คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายประวัติศาสตร์ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย เฟยจูจู อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เย็นวันนั้น เฉิงเทียนหยวนและเซวียหลิงพากันเก็บหัวไชเท้าอยู่ในผืนนา
เฉิงเทียนหยวนทำเรื่องราวใดๆ ล้วนค่อนข้างว่องไวและเซวียหลิงก็ให้ความร่วมมือกับเขา ทั้งสองคนคนหนึ่งขุดคนหนึ่งเก็บ จนกระทั่งเวลาเย็นในที่สุด ทั้งสองก็เก็บหัวไชเท้าเสร็จ
เซวียหลิงเหนื่อยหอบใบหน้าของเธอแดงเรื่อ เนื่องจากถูกแสงแดดแผดเผา
เฉิงเทียนหยวนมองไปรู้สึกเป็นห่วงเธอจึงพูดว่า "กลับกันเถอะครับ วันนี้เธอก็เหนื่อยแล้ว รอให้กินข้าวเย็นเสร็จแล้วเราจะได้พักผ่อนกัน"
แม้ว่าเซวียหลิงจะเหนื่อยมากแต่ก็ดูตื่นเต้นไม่น้อย
"นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสมาเก็บหัวไชเท้าด้วยตนเอง......จะว่าไปมันก็สนุกนะคะแต่ก็เหนื่อยมากด้วย"
เฉิงเทียนหยวนทำการคัดเลือกผัก พ่อเฉิงและแม่เฉิงทำความสะอาดห้องใต้ดินแล้วกำชับให้ค่ะพวกเขาทั้งสองไปพักผ่อน ที่เหลือให้พ่อกับแม่เป็นคนรับช่วงต่อ
เซวียหลิงล้างมืออยู่ด้านข้าง เธอได้กลิ่นหอมของพะโล้และน้ำมันลอยมาจากห้องครัว
"แม่คะ ตอนเย็นทำอะไรกินเหรอ ให้หนูช่วยไหม?"
ก่อนหน้านี้เฉิงเทียนหยวนเคยบอกกับเธอว่า กิจกรรมในวันไหว้พระจันทร์ของที่นี่มักจะเริ่มขึ้นในตอนเย็นและกลางคืน
ทุกครัวเรือนเตรียมอาหารเย็นมื้อพิเศษ ทุกคนต่างพากันกินอิ่มหนำสำราญ
หลังจากนั้นแต่ละครัวเรือนก็ได้จุดตะเกียงในบ้านของตนขึ้น หันหน้าไปทางทิศตะวันออกของดวงจันทร์แล้ววางผลไม้เครื่องเซ่นไหว้เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปี
หลิวอิงตอบรับว่า "ทุกอย่างเตรียมไว้เสร็จแล้ว รอแค่วางบนโต๊ะก็พอ ลูกกับอาหยวนกลับไปดื่มน้ำพักผ่อนที่ห้องเถอะ ล้างหน้าล้างตาเตรียมกินข้าวเย็น"
"ได้ค่ะ" เซวียหลิงตอบรับด้วยท่าทางมีความสุข
เฉิงเทียนหยวนทำการล้างไม้ล้างมือแล้วมองออกไปข้างนอกบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า "แม่ครับอาฟางล่ะ อาฟางไปไหน?"
หลิวอิงตอบว่า "หลังจากกินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้วเธอก็ออกไปข้างนอกแล้ว"
เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงทำสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะก้าวขาออกไปข้างนอก เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า "ช่วงนี้อย่าปล่อยให้เธอออกไปไหนมาไหนอีกครับ เดี๋ยวผมจะไปขอลางานให้เธอสักหนึ่งเดือน ให้เธออยู่ช่วยปักพื้นรองเท้าที่บ้าน"
พ่อเฉิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย "ทำไมถึงต้องลางานล่ะ ช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะไปทำงานอย่างจริงจัง เธอเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานจะให้ทำงานสองวันหยุดสามวันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทางสหกรณ์ร้านค้าคงจะไม่ชอบเธอ และไม่รับเธอทำงาน"
เฉิงเทียนหยวนกับหลิวอิงหันมาชำเลืองมองกัน ก่อนจะอธิบายขึ้นอีกว่า "ช่วงที่ผ่านมานี้มีผู้ตรวจสอบสหกรณ์ร้านค้าคนหนึ่งเดินทางมาจากอำเภอ กล่าวว่าภายในสหกรณ์ร้านค้าไม่จำเป็นต้องมีเด็กฝึกงานมากขนาดนั้น ในเมื่อทางหัวหน้าบอกว่าไม่จำเป็น ก็อย่าได้ไปสร้างความวุ่นวายอีกเลย ให้อาฟางอยู่ที่บ้านสักพัก รอให้ผู้ตรวจสอบคนนั้นไปเสียก่อนแล้วค่อยไปทำงานก็ได้"
พ่อเฉิงไม่รู้เรื่องราวเป็นไปอย่างไร เมื่อได้ยินลูกชายกล่าวดังนั้นก็เห็นว่าสมเหตุสมผลจึงพยักหน้าเห็นด้วย
"เอาล่ะ ก็เวลาแค่เพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ ให้เธออยู่ที่บ้านบ้างก็ดี นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวแล้วที่บ้านจำเป็นจะต้องเตรียมฟื้นเตรียมไฟเอาไว้ ให้เธอมาช่วยแม่เล็กๆ น้อยๆ ก็ดี เจ้าหนูคนนั้นขี้เกียจจนตัวเป็นขน"
หลิวอิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเฉิงเทียนหยวนพบว่าสามารถผ่านด่านของพ่อไปได้แล้ว ตัวเขาเองจึงได้พาเซวียหลิงกลับไปที่ห้องเพื่อดื่มน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เซวียหลิงจัดการเก็บผ้าห่มของทั้งสองคนไว้เรียบร้อยแล้วเธอยิ้มว่า "คิดไม่ถึงว่าตอนบ่ายจะมีแสงแดดส่องเข้ามาและสามารถตากผ้าห่มให้แห้งได้ ดูนี่สิคะผ้าห่มของเรายังอุ่นๆ อยู่เลย มีกลิ่นหอมของแดดอ่อนๆ ด้วย"
เฉิงเทียนหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล
"คืนนี้ตอนนอนห่มคงจะต้องอุ่นมากแน่"
เมื่อเขาพูดจบลงทั้งสองคนก็ตกตะลึง เมื่อครั้งก่อนตอนที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในห้องนี้ เธอนอนบนเตียงส่วนเขานอนบนโซฟา
ต่อมาเมื่อทั้งสองคนเข้าไปในเมือง ตอนแรกอาศัยอยู่ในโรงแรมเล็กๆ และต่อมาก็แยกอาศัยห้องละคน
แม้ว่าทั้งสองคนจะคุ้นเคยและสนิทสนมมากขึ้นกว่าเดิมตามวันเวลาที่ผ่านไป แต่ทั้งสองก็ยังไม่เคยนอนบนเตียงเดียวกัน
ทันใดนั้นเมื่อเดินมาถึงประตูห้องครัว ก็ได้ยินน้ำเสียงของหลิวอิงพูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลว่า "ทำอะไรเนี่ย พี่สะใภ้แกอยู่ในบ้านนะ!"
"หนูไม่ได้ทำอะไรนี่!" เฉิงเทียนฟาง ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาแล้วพูดว่า "ในเมื่อพี่เหมยไม่สามารถมาเป็นพี่สะใภ้ของหนูได้ แต่เธอก็ยังดีกับหนูเหมือนเป็นเพื่อนกัน พี่ชายของเธอกลับมาไม่ทันเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตัวเธอเองก็ไม่อยากอยู่ร่วมเทศกาลนี้กับคุณย่า หนูเลยได้ชวนเธอมากินข้าวกับเราที่บ้าน"
หา?
เซวียหลิงตกตะลึง ฝีเท้าของเธอชะงักลง
มองดูแล้วเหมือนคนที่ชื่อว่าพี่เหมยจะไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนสนิทของเฉิงเทียนหยวนธรรมดาเท่านั้น
เซวียหลิงอาศัยอยู่ในเมืองและเติบโตขึ้น ที่นั่นเธอมีเพื่อนผู้ชายผู้หญิงมากมายรวมถึงเพื่อนบ้าน เธอมีเพื่อนชายหญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นมากมาย
แต่ทุกคนล้วนเปิดใจคุยกันอย่างไม่มีที่ปิดบัง ดังนั้น เมื่อเซวียหลิงได้ยินว่าเป็นเพื่อนสนิท ของเฉิงเทียนหยวนเดิมทีเธอคิดว่าเป็นเพียงเพื่อนจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่า......จะมีความสัมพันธ์กันแบบนี้
เมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่เฉิงเทียนหยวนอายุสี่สิบกว่าห้าสิบปีก็ยังคงมีผู้หญิงมากมายเข้ามาชื่นชอบ ตอนนี้เขายังอายุน้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินมากมายเช่นเศรษฐี แต่ท่าทางของเขาก็แข็งแกร่ง แน่นอนว่าจะมีผู้หญิงเข้ามาชื่นชอบไม่ขาดสาย
เซวียหลิงคิดถึงหวังเจวียนที่เธอพบในสหกรณ์ร้านค้าคนนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
พี่หยวนของเธอได้รับความนิยมมากมายขนาดนี้ ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา ดูเหมือนว่าเธอจะได้เปรียบไม่น้อย
ภายในห้องครัว หลิวอิงดุลูกสาวของเธอด้วยความโกรธ "อย่าได้พูดจาเหลวไหลไป พี่ชายลูกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหล่อนเลย ยังทำหลอกตัวเองไปวันๆ อยู่ได้!"
เฉิงเทียนฟางเป็นคนที่เย่อหยิ่งและไม่ฟังคำพูดของคนอื่น แม้แต่แม่ของเธอเองก็ไม่ละเว้น
"หนูไม่ได้พูดผิดนี่คะ พี่เหมยก็บอกกับพี่ชายแล้วด้วยตัวเอง ว่าเพียงแค่พี่แต่งงานกับเธอ ก็จะให้สินสอดทองหมั้นและผลประโยชน์อีกมากมาย ตอนนี้พี่เสียงทำงานอยู่ทางใต้และมีเงินเยอะมากแต่ละปี พี่ของหนูโง่เง่าเหลือเกินที่พลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไป ไม่อย่างนั้นครอบครัวของเราก็คงจะอยู่ดีกินดี"
หลิวอิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "แหม ถึงตระกูลของเราจะยากจน แต่ก็ไม่ควรที่จะไต่เต้าเอาอกเอาใจประจบประแจงครอบครัวคนอื่น ดูพี่สะใภ้ของเธอสิดีขนาดไหน ทั้งนี้มารยาทเอาใจใส่คนอื่นมีเหตุมีผล อีกอย่างตอนนี้บ้านของเราก็ใช้หนี้ไปหมดแล้ว ในไม่ช้าชีวิตก็จะดีขึ้น ได้กินอิ่มหนำสำราญทุกๆ วัน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง