ในบ่ายวันนั้น หลังจากที่เซวียหลิงจัดการกับงานของตนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้แบ่งเวลามาอ่านรายงานที่หลิวซินและรองผอ.เจินเคยทำไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งยังได้ถามถึงความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องคอลัมน์การเงิน
เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับอย่างยิ่งกับกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ครั้งนี้ และวางแผนที่จะเปลี่ยนพื้นที่ริมแม่น้ำให้เป็นชุมชนพัฒนาเศรษฐกิจเหล่านั้นด้วย
"หากทำได้ดี รัฐบาลมีแผนจะขยายขนาดในอีก 2 ปีข้างหน้า และพัฒนาทั้งอำเภอหรงหวาและชานเมืองใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเป้าหมายระยะยาว ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า"
เซวียหลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยขอบคุณเพื่อนร่วมงาน
แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วโดยมากเธอจะใช้เวลายุ่งอยู่กับการดิ้นรนปากกัดตีนถีบที่ทางใต้ แต่เนื่องจากว่าบ้านของเฉิงเทียนหยวนอยู่ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างให้ความสนใจกับอำเภอหรงหวา
จากที่เธอรู้มา กิจกรรมการลงทุนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่เพียงแต่สร้างโรงงานจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังผลิตชุดเครื่องใช้ในครัวเรือนขั้นสูงซึ่งก่อให้เกิดเขตเศรษฐกิจที่คึกคักมาก
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ว่าตอนนี้จะดูรกร้างห่างไกลความเจริญเพียงใด ในอนาคตมันจะกลายเป็นสถานที่ซึ่งเจริญรุ่งเรือง
หลังจากจัดการธุระของตนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง พบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น
ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงมืดมนลงอย่างรวดเร็ว เธอรีบขี่จักรยานไปยังบ้านเช่าของเธอ
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็พบเฉินหมินกับชายคนหนึ่งรูปร่างกำยำยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านเช่าของเธอ เฉิงเทียนหยวนกำลังจะเปิดประตูให้พวกเขา
"อ้าว เสี่ยวเซวียกลับมาแล้วหรือ กลับมาไม่ช้าไม่เร็ว ได้จังหวะเหมาะเจาะพอดีเหลือเกิน" อาหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
เฉิงเทียนหยวนค่อยๆ เดินออกมาจากข้างใน เนื่องจากว่าบริเวณน่องของเขาบาดแผลยังไม่หายดี ดังนั้นเขาจึงเดินได้ค่อนข้างช้า
เซวียหลิงกระโดดลงจากรถจักรยานแล้วทักทายพวกเฉินหมินด้วยท่าทางอันอบอุ่น
"เชิญนั่งข้างในก่อน อย่าได้เกรงใจไป"
แต่เฉินหมินก็ยังคงเกรงใจดังเดิม ในทางกลับกันเป็นอาหู่รู้สึกคุ้นเคยเป็นกันเองมากกว่า เขาก้าวเข้าไปด้านในบ้านแล้วเอ่ยถามว่า "เสี่ยวเซวีย รถจักรยานคันนี้ชื่นชอบมันหรือไม่ เป็นรถจักรยานมียี่ห้อ เชื่อผมเถอะ เลือกไม่ผิดแน่!"
เซวียหลิงหัวเราะขึ้นเหอะๆ แล้วพูดว่า "ไม่เลวเลยค่ะ"
อาหู่ยิ้มเสียจนปากกว้างแล้วรีบชี้แจงขึ้นว่า "เมื่อครั้งก่อนเราเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ซึ่งในตอนนั้นสมองของผมมันสับสนมึนงงไปหมด จิตใจมัวแต่กังวลลุกลี้ลุกรน ยังไม่ทันได้สนทนากับพวกเธอทั้งสองเท่าไร ผมรู้สึกว่าช่างไร้มารยาทนัก ช่วงที่ผ่านมาก็มัวแต่ดูแลแม่ที่เจ็บป่วยจึงไม่ได้เดินทางมาขอบใจพวกคุณทั้งสองคน อย่าได้ถือสาผมเลย"
เฉิงเทียนหยวนช่วยนำจักรยานเข้าไปเก็บไว้ด้านในแล้วพูดว่า "อย่าได้เกรงอกเกรงใจไป การดูแลแม่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า"
เดิมทีเขาตั้งใจจะเชิญอาหู่และเฉินหมินขึ้นไปด้านบน กล่าวว่าที่ด้านบนมีห้องรับแขกอยู่ เชิญทั้งสองขึ้นไปดื่มน้ำร้อนสักแก้วก็ยังดี
คิดไม่ถึงว่าลูกพี่ลูกน้องของเฉินหมินกลับปฏิเสธ เขาอธิบายว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องรีบกลับไปหุงหาอาหารให้แม่ จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้
"แม่ของผมยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อผมเดินทางออกมาแบบนี้จึงไม่มีใครดูแลเธอ ผมจะออกมานานมากไม่ได้ เมื่อตอนกลางวันอาหมินได้เดินทางไปโรงพยาบาลแล้วเล่าให้ฟังว่าเสี่ยวเซวียรู้เรื่องราวภายในของกิจกรรมการลงทุนในครั้งนี้ จึงบอกว่าเมื่อเลิกงานแล้วจะพามาเอ่ยถามดู"
อาหู่พยักหน้าก้มศีรษะลงด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วหันไปโค้งกายให้แก่เซวียหลิง
"เสี่ยวเซวีย ครั้งนี้คงต้องรบกวนอีกครั้ง ขอขอบคุณเอาไว้ล่วงหน้าด้วย"
เซวียหลิงยกมือขึ้นโบกปฏิเสธยิ้มแล้วกล่าวว่า "ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพอจะช่วยเรื่องใดได้ ขึ้นไปข้างบนคงจะลำบากไปหน่อย พวกเราไปนั่งที่ห้องครัว แล้วดื่มน้ำร้อนก่อนสักแก้วเป็นเช่นไร?"
"ได้เลย" อาหู่เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วเอ่ยชมว่าที่แห่งนี้ช่างกว้างขวางดีเหลือเกิน ก่อนที่จะหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางไว้ตรงมุมห้องออกมานั่งลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง