แม้ว่าเฉิงเทียนหยวนจะเป็นคนเยือกเย็นเล็กน้อย แต่เขาก็เป็นผู้ชายตรงไปตรงมา
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาก็หันหลังกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบกระดาษ
เซวียหลิงขมวดคิ้วขึ้น เป็นความหมายว่าเขาจะทำแบบนั้นไม่ได้
เซวียหลิงเป็นนักธุรกิจในชาติก่อน หลังจากที่ถูกโกงโดยผู้ร่วมมือ เธอจึงเข้มงวดมากเกี่ยวกับสัญญาทางกฎหมาย เธอได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบคอบต่อทนายความ
ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินอาหู่พูดแบบนี้ เธอก็อยากจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณของตน
เมื่อมองย้อนกลับไป ประชาชนทั่วไปในเวลานี้ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย กิจการส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม จะละเลยเกินไปก็ไม่ได้ เพราะเธอควรต้องระวังอยู่ตลอดเวลา
หากเขาเอาเงินไปแต่โฉนดยังอยู่ในมือเป็นชื่อของเขา เมื่อเขาเข้ายึดครองที่ดิน เขาสามารถนำโฉนดไปแลกเป็นเงินได้โดยตรง เมื่อถึงเวลานั้นเธอจะสูญเปล่า!
เธอเผยรอยยิ้มอันสุภาพออกไปและกำโฉนดที่ดินในมือของเธอเอาไว้
“พี่อาหู่ ในวันนี้เรามาทำการซื้อขายกัน พูดตามตรง เงินกว่าหนึ่งพันหยวนไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ฉันรู้ว่าคุณเชื่อใจฉัน แต่เรื่องแบบนี้จะตกลงกันปากเปล่าไม่ได้”
อาหู่และ เฉินหมิน มองหน้ากันไปมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง โฉนดที่ดินนี้คุณเก็บเอาไว้ ที่ดินแห่งนั้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จะหนีไปไหนพ้น! ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยากจน แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะหลอกลวงคนอื่นแบบนั้น ผมพูดคำไหนคำนั้น!”
เซวียหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "ฉันรู้เรื่องนี้ดีค่ะ อย่างไรก็ตาม ถ้าโฉนดที่ดินฉบับนี้ฉันเป็นคนเก็บเอาไว้ มันอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับคุณ เพราะถึงอย่างไรเอกสารใบเดียวมันก็ไม่เป็นทางการ ดีไม่ดีคุณอาจประสบความสูญเสียในอนาคต”
ใบหน้าที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาของ เฉินหมิน เต็มไปด้วยความเขินอาย เขาทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง
“เอ่อ......แล้วพี่สะใภ้ว่าอย่างไร?”
ได้ยินอาหยวนพูดว่าเธอมีความรู้มากมายหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งยังเป็นคนเมืองหลวง เรียนหนังสือก็สูง
ในเมื่อเธอพูดอย่างนั้น เธอต้องมีเหตุผลของเธอแน่นอน
คุณป้ายังนอนอยู่ในโรงพยาบาลรอเงินมาช่วยชีวิต หากได้เงินมาโดยเร็วและจัดการเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อย ก็ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
อาหู่ผงะไปครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดตามสถานการณ์ว่า “พี่สะใภ้ คุณทำงานในสำนักงานหนังสือพิมพ์ คุณเป็นคนรอบรู้และรู้มากกว่า ผมมันก็เป็นแค่คนแข็งกระด้างคนหนึ่ง ผมไม่เข้าใจอะไรพวกนี้เลย คุณว่าอย่างไรพวกเราก็ทำเช่นนั้น”
ในที่สุดเซวียหลิงก็รอคำเหล่านี้ เธอแอบรู้สึกโล่งใจ
“พี่อาหู่ตราประทับที่ดินของคุณออกเทศบาลหรือ?”
อาหู่ตอบว่า "ใช่! มันถูกแบ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ตอนนั้นยังไม่เป็นทางการมากนัก ได้ยินมาว่าเป็นการวัดอย่างคร่าวๆ แล้วออกใบรับรองให้ทุกคน"
เซวียหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เราต้องไปที่เทศบาลเพื่อจัดการเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาสามารถประทับตราให้คุณได้ พวกเขาก็สามารถประทับตราให้ฉันและคุณคนละฉบับได้ พวกเขาน่าจะมีข้อมูลสำหรับบันทึก หากในอนาคตมีคนจะใช้พื้นที่ ก็จำเป็นต้องผ่านพวกเขา”
อาหู่พยักหน้าและพูดอย่างมีความสุขว่า “ผมเคยไปที่นั่นมาเมื่อไม่นานมานี้เพื่อออกใบรับรอง นับว่าคุ้นเคยกับที่นั่นมาก ทางเทศบาลก็รู้เรื่องย่ำแย่ของครอบครัวเรา พวกเขาน่าจะช่วยได้"
เซวียหลิงยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ต่อให้ทำไม่ได้ก็ไม่สำคัญ เรามาเขียนสัญญาที่เป็นทางการกว่านี้และพนักงานที่นั่นลงนามเป็นหลักฐานกันเถอะ จุดเริ่มต้นของสิ่งเหล่านี้คือความไว้วางใจของกันและกัน ตราบใดที่ความไว้ใจยังมีอยู่ ในอนาคตไม่ว่าคุณหรือฉันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป”
เมื่ออาหู่ได้ยินว่ามีวิธีการที่ง่ายกว่านี้ เขาก็มีความสุขขึ้นในทันใด
“ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร! ไม่ต้องห่วง ผมจะพาคุณสองคนไปที่บ้านของผมพรุ่งนี้ แล้วผมจะพาคุณไปดูที่ดินเพื่อที่พวกคุณจะได้เชื่อใจผมมากขึ้น”
เซวียหลิงพยักหน้าเห็นด้วย
พระอาจวิ่งหนีได้ แต่วัดจะหนีไปไหน? ไปดูสักหน่อยก็ดี
หลังจากที่เฉิงเทียนหยวนลงมาพร้อมกับกระดาษ เขาได้ยินพวกเขาบอกว่ายังไม่จัดการตอนนี้ และรอไปที่เทศบาลในวันพรุ่งนี้ด้วยกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง