ต่อมาล่ะ?
พออายุมากแล้ว ความโปรดปรานที่มีก็ไม่เหลือ ได้แต่ต้องนั่งตบยุ่งรอคอยอย่างสิ้นหวังจนรุ่งสาง
เหลียงเฟยโกรธจนกัดฟันแน่น แต่ก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “ในวังหลวงแห่งนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นดังดอกไม้ ดังหยกล้ำค่ามาก่อนบ้างเล่า หรือว่าเจี่ยงเจาอี๋เป็นคนขี้เหร่งั้นหรือ?”
รูปร่างหน้าตาของเจี่ยงเจาอี๋ไม่ได้โดดเด่นอะไร ยิ่งพออยู่ท่ามกลางคนงามมีที่มากมายดังกลุ่มเมฆในวังหลัง ก็เป็นได้เพียงหญิงงามตระกูลเล็ก ๆ เท่านั้น นางจึงไม่ชอบอย่างยิ่งที่ถูกคนอื่นโจมตีรูปลักษณ์ของตัวเอง
เมื่อเห็นว่ากำลังจะทะเลาะกันแล้ว จูฮองเฮาก็ถือถ้วยชาขึ้นมาตรัสว่า “เอาล่ะ เป็นเรื่องดีที่ในวังมีนางสนมที่ได้รับความโปรดปรานเพิ่มมาอีกคน การมีพี่น้องอีกคนมาช่วยผลิดอกออกผลให้แก่ราชวงศ์เร็วๆเช่นนี้ ข้าเองก็มีข้ออ้างที่จะพูดแก้ต่างให้กับไทเฮาฟังแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายก็เข้ามาในวังหลวงนานแล้วก็ควรจะพยายามให้มากๆ อย่าได้ทำให้ทายาทที่จะสืบสกุลของราชวงศ์ต้องขาดตอน”
ลี่กุ้ยเฟยยิ้มเยาะเย้ยอย่างเย็นชา ฮองเฮงเองก็ไม่มีลูก ยังจะพูดจาวางท่าสูงส่งที่นี่อีก
เกรงว่าที่วังหลังแห่งนี้คนที่ไม่อยากให้นางสนมมีลูกมากที่สุดก็คือจูฮองเฮาเองหรอกกระมัง!
ฮ่องเต้กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ในวังหลวงแห่งนี้มีแค่องค์หญิงใหญ่ของเหลียงเฟย องค์ชายสามกับองค์หญิงรองของเต๋อเฟย และก็องค์ชายสี่ที่มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตก่อนวัยอันควรไปก่อนแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮองเฮายังเป็นแค่หวงจื่อเฟยขององค์ชายห้าและประทับอยู่ที่เฉียนตี่เคยมีองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรอง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือว่าทำเรื่องเลวร้ายมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้องค์ชายทั้งสองพระองค์ล้มป่วยและเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควรตาม ๆ กันไป
นางสนมพากันแยกย้ายกันไป กลิ่นหอมของไม้จันทน์ก็หอมฟุ้งขึ้นในตำหนักอี้คุน เฟินอวิ๋นกำลังช่วยจูฮองเฮาถอดเครื่องแต่งกายประจำพระยศที่หนักอึ้งออก “เหนียงเหนียง จะให้บ่าวไปสืบหาความจริงที่ตำหนักซีเหอหรือไม่เพคะ?”
จูฮองเฮามองใบหน้าที่ไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไปของตัวเองที่สะท้อนในกระจกทองแดง นางใช้ชีวิตในวังหลังมานานสิบกว่าปี มันได้ทำลายความแวววาวในดวงตาของนางจนหมดสิ้น เผยให้เห็นถึงความชราลงมาเล็กน้อยแล้ว
นางขมวดคิ้วและซ่อนผมหงอกเส้นหนึ่งเข้าไปในผมของนาง “บุตรีอนุจากตระกูลเจียงคนนั้นได้รับความโปรดปรานหลายวันหน่อยก็ลืมตัว คนอื่นยุแยงไม่กี่คำก็ไม่มีสมองมาเป็นกระบอกปืนแทนคนอื่น จะมีอะไรให้ต้องสืบกัน? ส่งคนไปมอบของขวัญให้ก็พอแล้ว พรุ่งนี้ตำหนักอี้คุนของข้าเกรงว่าจะมีเจี๋ยอวี๋เหนียงเหนียงคนนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งคนเสียแล้ว”
เฟินอวิ๋นรวบผมที่ร่วงลงมาเงียบ ๆ และยัดเข้าไปในแขนเสื้อ “แม้ว่าไม่สามารถทำเป็นเรื่องใหญ่โตได้ แต่ความโปรดปรานของลี่กุ้ยเฟยก็ยังใช้เป็นประโยชน์ได้อยู่เพคะ ”
จูฮองเฮาหัวเราะเบา ๆ “ลี่กุ้ยเฟยลงโทษให้นางคุกเข่าในอุทยานหลวงตั้งนาน นางคงเสียหน้าเอามากๆ ในใจนางไม่แน่ว่ากำลังอดกลั้นความโกรธเอาไว้เต็มอกอยู่ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเอาคืนแหละ”
ตำหนักซีเหอเป็นที่ที่คนทั้งวังหลังจับตามองอยู่ ไม่นานหลังจากฮ่องเต้จากออกไป ก็ได้รับของพระราชทานรางวัลมากมายและมีพระราชโองการแต่งตั้งส่งมาให้
“เจินหรงหวา รีบลุกขึ้นมาเถอะ! บ่าวต้องรีบกลับไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อไปรายงานตัวแล้ว”
“ลำบากหวังกงกงแล้ว”
เจียงซินเย่ว์ลุกขึ้นยืน นางไม่ได้มองบรรดาผ้าไหมผ้าซาติน หรือทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นเท่าไร แต่กลับเอานิ้วที่เรียบเนียนของตัวเองเขี่ยไปเขี่ยมาอย่างเหนียมอาย “หวังกงกง คืนนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาจริง ๆ ใช่ไหม?”
นางถามโต้งออกไปทั้งอย่างนั้น หวังเต๋อเฉวียนไม่รู้ว่าควรจะว่านางโง่หรืออ่อนต่อโลกกันแน่
“ฝ่าบาทรับปากนายหญิงแล้ว ก็น่าจะมาขอรับ”
เขาไม่กล้าพูดอะไรที่รุนแรงเกินไป ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานนางหลายครั้งแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคืนนี้ฝ่าบาทจะเปลี่ยนพระทัยหรือไม่
เมื่อวานตอนที่ฉู่เจี๋ยอวี๋มาที่ตำหนักซีเหอเพื่อมาเบ่งอำนาจ ฝ่าบาททรงทราบเข้าก็เขียนอักษรคำว่า “คุณค่า” คำนี้มอบให้เจียงกุ้ยเหริน เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่มีว่านางมีคุณค่ามากแค่ไหน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เล่ห์รักพันธนาการหัวใจ