“ถ้าท้องจริง ก็ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันแน่นะ”
“ก็เพราะไม่แน่ว่าใช่ลูกพี่หรือเปล่าน่ะสิ”
“ก็ผมไม่แน่ใจว่าเมียไปเที่ยวแบให้ใครเอาบ้างไงล่ะ มีหลายคนเกิน ไหนจะลูกค้าวีไอพี ไหนจะลูกของเพื่อนลูกค้าวีไอพีอีก แล้วไหนจะ...”
“บอกไว้ก่อนนะ ว่าถ้าท้องเมื่อไหร่ผมจะไล่ไปตรวจดีเอ็นเอให้ดู ถ้าไม่ใช่ลูกผม ก็เตรียมตัวไสหัวออกไปจากบ้านนี้เลย แล้วก็ไปตัวเปล่า อย่าคิดว่าจะได้อะไร บอกเลยว่าสตางค์แดงเดียวก็จะไม่ได้จากผม ไปอยู่กับแม่ร่านๆ แรดๆ ของคุณเลย”
คำเขายังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำไม่ลบเลือนหรือเลื่อนลอยผุดขึ้นมา เตือนให้ต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หากอยากกลับไปบอกเขา นี่ยังไม่นับรวมกับสัญญาของคน ‘สิ้นคิด สิ้นไร้ไม้ตอก’ อย่างเธอที่ทำไว้อีก
เพราะเห็นเขาเหมือนท่อนไม้ลอยมาช่วยคนกำลังชูคออยู่กลางทะเล ไม่ให้ดำดิ่งลงไปในห้วงมหาสมุทร หารู้ไม่ ว่าไม้ท่อนนั้น กลับเต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม ทุกครั้งที่เข้าใกล้ ก็จะได้บาดแผลกลับมาเสมอ แต่เพื่อให้มีชีวิตรอด เพื่อต่อลมหายใจให้ได้อยู่ต่อ เธอจำต้องทนกับความเจ็บปวดเสียนาน
สุดท้ายก็ไม่รอด เธอยอมละทิ้งท่อนไม้นั้น แล้วจ้วงสองแขนไปในท้องทะเลอั้นกว้างไกล เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เพื่อหมายจะได้พบกับชายฝั่ง ซึ่งคงจะมีอยู่ที่ไหนสักหนสักแห่ง
แต่ระหว่างกำลังว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่นั้น กลับมีก้อนหินหนักๆ ถาโถมลงมาทาบทับไว้ จองจำให้ไปต่อได้ยากกว่าที่เป็น ก้อนหินที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะปลดออกจากกาย หรือว่ายไปต่อทั้งที่ยังมีถ่วงแขวนคออย่างนั้น
เธอจะตัดสินใจยังไงดี
จะว่ายกลับไปหาท่อนไม้ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม
หรือไปตายเอาดาบหน้า
ไรยาปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม แล้วเดินออกจากห้องน้ำไปนั่งเก้าอี้โยกตรงระเบียงริมน้ำ ครุ่นคิดถึงทางเลือกว่าจะเอายังไง ถ้าตัดสินใจรับภาระอันหนักอึ้งไว้แต่เพียงผู้เดียว
หนึ่งหญิง หนึ่งลูก และอีกสองลุงป้าจะอยู่ยังไงในบ้านเก่าๆ หลังนี้ กับเงินเก็บอันน้อยนิดที่มี จะหาทางทำให้มันงอกเงยขึ้นได้ยังไง ถ้าพ่อยังอยู่ คงให้คำแนะนำดีๆ หรือช่วยออกความคิดอะไรได้ดีกว่านี้แน่ๆ แต่พ่อก็จากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับมารับรู้ ว่าตอนนี้ลูกของพ่อ กำลังทุกข์ใจอย่างหนัก
คนเพิ่งรู้ว่าท้องเหม่อมองผืนน้ำเบื้องหน้า ชีวิตช่างขยันพบกับความผกผันอย่างสุดขั้วเสียเหลือเกิน จากเกิดมาแวดล้อมด้วยคนที่รัก พร้อมสรรพด้วยความสุขสบายอย่างไร้ขีดจำกัด แล้วตกจากวิมานฉิมพลี มาดิ้นรนเพื่อให้ตัวและครอบครัวอยู่รอด
พลิกกลับมาได้สบายขึ้นหน่อยก็ตอนแต่งงานกับผู้ชายเงินหนา แวดล้อมด้วยข้าวของเงินทอง แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือวิมานลวง วิมานทิพย์ ที่ต้องอยู่ทนและอยู่อทน สุดท้ายก็ไปต่อไม่ไหว จนต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วมันมีอะไรจะเสียอีกกันล่ะ ถ้าจะต้องดิ้นรน เพื่อเอาตัวรอดและเพียงลำพังอีกครั้ง
‘สู้นะย้า สู้เพื่อลูก เพราะแกไม่เหลือใครหรือของล้ำค่าอะไรแล้ว นอกจากลูก ลูกที่พ่อไม่อยากได้เท่านั้น’
วันดีเดินออกจากห้องอาหาร มองไปออฟฟิศหลาน ก็ยังเห็นนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งกับงานอยู่ จะบ่ายโมงแล้ว อาหารที่จัดไว้ให้ก็เย็นชืดแล้ว พนักงานที่นั่งอยู่ด้วย ก็คงจะหิวจนไส้กิ่วแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าออกมากิน เพราะกลัวเจ้านายจะดุเอา ไม่เข้าใจว่าจะทำงานให้ตายไปข้างหนึ่งเลยหรือยังไง กำไรจากงานครั้งก่อนก็ได้เยอะแยะ จนไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ยังไงแล้ว
ดูออกหรอก ว่าที่ทำงานหนัก ก็เพื่อจะไม่ให้มีเวลาพัก จะได้ไม่คิดถึงเมียที่หนีหน้าไป ทิ้งไว้ให้แค่ใบหย่า สี่ปีผ่านมาแล้ว วันดีก็ยังไม่เห็นหลานจะเปิดใจรับใคร
ทั้งที่ตอนมีเมีย ก็เห็นเอาแต่ด่า เอาแต่ว่า และพร้อมจะหย่าตลอด แต่พอหย่าจริงๆ กลับเหมือนคนไร้สุข เหมือนคนขาดความอบอุ่น วันๆ ต้องลากพนักงานมาอยู่ด้วยประจำ
“เบรกกินข้าวก่อนดีมั้ยฮั้นท์ คนอื่นหิวแย่แล้ว”
หรัญญ์ดูนาฬิกาถึงได้รู้ว่าเลยเวลามาเยอะแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เมียแต่งท่านประธาน [Chairman's Wife]