สรุปตอน บทที่ 62 รักจนคลั่ง – จากเรื่อง เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น โดย BUNNY
ตอน บทที่ 62 รักจนคลั่ง ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น โดยนักเขียน BUNNY เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
จิตใจของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่เคยสับสนเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยสั่นสะท้านแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
เธอถูกเซียวเซิ่งรวบเข้าอย่างแน่นแฟ้น ขยับไม่ได้ ขัดขืนไม่ได้ ได้แต่ถูกบังคับให้เชยคางขึ้นเพื่อต้อนรับความรักของเขา ความหลงใหลของเขา.....
หยาดฝนอันเย็นเยียบโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เทลงมาอย่างดุร้ายบนศีรษะและบนหน้าของเขาทั้งสอง กลีบปากที่รับส่งกัน ปลายลิ้นที่กระหวัดพันกัน กระเพื่อมอย่างเร่าร้อน ความกลัดกลุ้มทั้งมวลต่างเกลือกกลิ้งอยู่ในจูบอันดื่มด่ำที่ทำให้คนหอบ....
“ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นกันจริงๆ”
โอเล่ย์และพ่อบ้านเซี่ยมองหน้ากัน แต่ละคนส่ายหัวพร้อมเดินเข้าไปด้านใน ต่อให้เป็นคนตาบอดก็มองออกว่าเจ้านายกระสันจนฟ้าถล่มดินทลาย เสียดายเสี่ยวเนี่ยนช่างเหมือนกับฉนวนกันไฟ
ในห้องรักษาเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ หมอประจำครอบครัวตรวจโอเล่ย์แล้ว กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “เลขาโอ คุณไม่มีอะไรร้ายแรงครับ ทำกายภาพไม่กี่วันก็หายครับ”
“ผมก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แค่ต้นแขนแพลงนิดหน่อย กล้ามเนื้อเคล็ด กระดูกไม่เป็นอะไร กินยาหน่อยก็ได้แล้ว”
“คุณชายน่าจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ใช่ไหมครับ?” พร้อมกวาดตามองไปยังเงาร่างที่กอดจูบกันอยู่นอกหน้าต่าง พ่อบ้านเซี่ยถามด้วยความกังวลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“แน่นอนครับ” โอเล่ย์อมยาพลางกล่าว “ตอนนั้นเพื่อจะเลี่ยงเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน ประธานเหมือนใช้ความพยายามทั้งชีวิตพลิกสถานการณ์หักขวาเต็มแรงขนาดที่คนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ เสี่ยงชีวิตจริงๆ”
“เฮ้อ แล้วนี่จะทำยังไงละเนี่ย?” พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างร้อนรนพร้อมเดินวนไปมา “เมื่อครู่คุณชายเดินแข็งๆ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บไปถึงโครงกระดูกกับอวัยวะภายในรึเปล่า หากพลาดเวลารักษาที่ดีที่สุดไป ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์เลย!”
“ลุงเซี่ยครับ คุณว่าขัดจังหวะพวกเขาหน่อยดีไหมครับ? ตรวจประธานก่อนแล้วค่อยไปจูบกันใหม่” โอเล่ย์พิงขอบหน้าต่างพลางถูที่ไหล่ สายตามองไปยังคนคู่หนึ่งที่อยู่ชั้นล่าง “อีกอย่าง เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนตากฝนมาตั้งนานแล้ว ไม่อบอุ่นร่างกาย ถ้าเป็นหวัดไปจะทำอย่างไร?”
“ใครก็หยุดพวกเขาไม่ได้หรอก” พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างผู้มีประสบการณ์พลางโบกมือ “แรงกระตุ้นที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือนแบบนี้ ดีกรีความร้อนของร่างกาย ทำให้ไข่สุกยังได้เลย วางใจเถอะ”
“เอ่อ.....ลุงเซี่ยนี่เป็นผู้รอบรู้จริงๆ สักครู่นะครับ---” โอเล่ย์จู่ๆนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ พลางขมวดคิ้วคิด ครู่เดียว ก็ตกใจ “เอี๋ยนหยู่โรวยังอยู่ในรถ น่าจะสลบไปแล้ว!”
“เอ้ย ลืมเธอไปได้ยังไงเนี่ย? จะยังไงเธอก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณชายไว้นะ” พ่อบ้านเซี่ยรู้สึกตนเองบกพร่องในหน้าที่ รีบนำคนรับใช้สองคนลงไปย้ายเอี๋ยนหยู่โรว
โอเล่ย์พรั่งพรูออกมาในหนึ่งอึดใจ ไม่รู้ว่าจะตำหนิตนเองไหม ที่หลงลืมคนเป็นๆคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ได้อย่างไร?
เวลานั้นตื่นเต้นกับเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจนเกินไป ไม่ต้องพุดถึงประธาน ใจของเขายื้อยุดเอาไว้ หากชนถูกเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนขึ้นมา จะมีผลอย่างไร? เห็นเธอถูกลงโทษ ดวงใจก็แทบจะแหลกละเอียดแล้ว โครม ฝนยังคงตก
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมึนงงอย่างเหลือร้ายไปทั้งร่าง ไม่มีทางที่จะหายใจได้เลย จูบของเซียวเซิ่งช่างเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับปรารถนาอย่างจริงใจที่จะจูบเธอจนหมดสติไปอย่างนั้น
ไม่นาน เธอที่ยังคงสับสนถูกเซียวเซิ่งอุ้มกลับไปที่ห้อง หลังจากนั้นก็อาบน้ำ ดื่มชาขิง ประคบเย็นบนใบหน้า และนอน แน่นอนว่านอกจากการนอนแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นผู้ชายคนนั้นช่วยทำให้เธอ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า จริงๆแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ละเอียดถี่ถ้วนคนหนึ่ง รู้จักทะนุถนอมคน แต่เธอไม่ต้องการให้เขาทะนุถนอม....
หลังจากเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนนอนหลับไปแล้ว เซียวเซิ่งอาศัยคุณหมอที่มีชื่อเสียงสองคนไปเป็นเพื่อน รีบไปยังโรงพยาบาลเพื่อรักษากระดูกซี่โครง เนื่องจากหายใจลำบาก
ที่นั่งข้างคนขับเดิมทีก็เป็นที่ตำแหน่งที่นั่งที่อันตรายที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะปกป้องเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเขาไม่สนตัวเอง ทำอย่างสุดความสามารถ ไม่ได้สนใจตนเอง นั่นย่อมหนีความหายนะไปไม่พ้น
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง อย่าไปคิดว่าใครติดค้างคุณ บางทีคนนั้นอาจจะตอบแทนมาแต่แรกแล้วก็เป็นได้
วันที่สองเมื่อถึงตอนเช้า เซียวเซิ่งปรากฏตัวอยู่ที่โต๊ะกินข้าวอย่างตรงเวลา สีหน้าเป็นปกติ เสื้อเชิ้ตสีดำบนร่างกายที่สูงสง่า อารมณ์สง่างามและเข้มงวด
“เรียกเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนลงมาทานข้าวเช้าด้วย”
“คุณชายครับ ผมเรียกไปแล้วครับ เธอบอกว่าอยากนอน” เซี่ยเอ่อแสดงสีหน้าอย่างหมดหนทาง “แต่ว่า เธอเจาะจงถามถึงคุณและโอเล่ย์ว่าได้รับบาดเจ็บไหม ผมบอกไปว่าไม่มี เธอยังคงบอกว่าขอโทษ เหมือนกับรู้สึกผิดและอับอายต่อการกระทำของตนเอง”
เหมือนกับรายการทีวีที่เอามาฉายซ้ำ ภาพเหตุการณ์ที่น่ากลัวเมื่อคืนมาปรากฏอยู่ตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า รถที่เฉี่ยวร่างเธอ ใบหน้าที่ดุดันของเซียวเซิ่ง เลือดที่ไหลออกมาจากหน้าผากของเขา ......ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก
ยังมีจูบท่ามกลางสายฝนนั่น อบอุ่นและเร่าร้อนเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ช็อตจนเธอขึ้นๆลงๆ ลอยๆจมๆ หาทางไม่เจอ ใจเหมือนจะหลุดลอยออกมาได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกนี้.....
นี่ตัวเองชอบเซียวเซิ่งเข้าให้แล้วหรือ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้ การตบอันโหดร้ายของเขานั่น ได้สะบั้นความรู้สึกและจินตนาการของเธอที่มีต่อเขาไปหมดแล้ว ตอนนี้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอยังคงบวมฉึ่ง ปากยังอ้าไม่ได้ ดวงตายังกลายเป็นข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็ก
จิตใจของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนแสบร้อน แอบเช็ดน้ำตาสองสามสาย ช่วงหนึ่งรู้สึกแย่ ช่วงหนึ่งรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจ แต่เมื่อคิดถึงลูกชายขึ้นมาความรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจในใจของเธอพริบตาเดียวก็สลายไปเหมือนเมฆหมอก
เซียวเซิ่งเคยให้สัญญากับเธอว่ารอเมื่อเธอรักษาตัวจนหายแล้ว เขาจะให้เธอกับลูกชายได้พบหน้ากัน เพราะเหตุนี้ ตนเองจึงยอมกล้ำกลืนการดูถูกยอมรับความอับอาย ตั้งใจรักษาตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์ แล้วจะไม่ให้เธอท้อแท้หมดกำลังใจได้อย่างไร?
“ท่านเสี่ยวเหนียนหยูที่รัก คุณชายเรียกคุณลงไปทานข้าวกลางวันค่ะ”
ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว หงยวี่เคาะประตูอยู่ด้านนอก “ก่อนทานข้าว คุณช่วยเฆี่ยนฉันสักสองครั้งระบายอารมณ์ ดีไหมคะ?”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกุมศีรษะอย่างรำคาญ
ห้องอาหารที่ใหญ่โตโออ่าและสว่างไสว ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นของดอกบัว บนโต๊ะล้วนเป็นสำรับที่ทำมาจากรากบัว ใส่ซอส ผัด อัดจนแน่น เปรี้ยวหวาน ข้าวเหนียวรากบัว ซุปรากบัวซี่โครงหมู.....
เซียวเซิ่งนั่งตรงที่นั่งของเจ้าบ้าน สองมือเท้าคาง นัยน์ตาสีดำขลับมองผลงานชิ้นโบว์แดงบนโต๊ะอย่างพึงพอใจ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยพร้อมเปล่งประกายรัศมี จิตใจช่างเหมือนหนุ่มน้อยที่มีความรักครั้งแรก ช่างน่ารบกวนจิตใจอย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่าใจสองดวงที่จริงใจ ดวงหนึ่งใหญ่ดวงหนึ่งเล็กของตนเองและเซียวอู๋เหิน เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะชอบหรือไม่นะ?------
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น