จิตใจของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่เคยสับสนเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยสั่นสะท้านแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
เธอถูกเซียวเซิ่งรวบเข้าอย่างแน่นแฟ้น ขยับไม่ได้ ขัดขืนไม่ได้ ได้แต่ถูกบังคับให้เชยคางขึ้นเพื่อต้อนรับความรักของเขา ความหลงใหลของเขา.....
หยาดฝนอันเย็นเยียบโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เทลงมาอย่างดุร้ายบนศีรษะและบนหน้าของเขาทั้งสอง กลีบปากที่รับส่งกัน ปลายลิ้นที่กระหวัดพันกัน กระเพื่อมอย่างเร่าร้อน ความกลัดกลุ้มทั้งมวลต่างเกลือกกลิ้งอยู่ในจูบอันดื่มด่ำที่ทำให้คนหอบ....
“ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นกันจริงๆ”
โอเล่ย์และพ่อบ้านเซี่ยมองหน้ากัน แต่ละคนส่ายหัวพร้อมเดินเข้าไปด้านใน ต่อให้เป็นคนตาบอดก็มองออกว่าเจ้านายกระสันจนฟ้าถล่มดินทลาย เสียดายเสี่ยวเนี่ยนช่างเหมือนกับฉนวนกันไฟ
ในห้องรักษาเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ หมอประจำครอบครัวตรวจโอเล่ย์แล้ว กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “เลขาโอ คุณไม่มีอะไรร้ายแรงครับ ทำกายภาพไม่กี่วันก็หายครับ”
“ผมก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แค่ต้นแขนแพลงนิดหน่อย กล้ามเนื้อเคล็ด กระดูกไม่เป็นอะไร กินยาหน่อยก็ได้แล้ว”
“คุณชายน่าจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ใช่ไหมครับ?” พร้อมกวาดตามองไปยังเงาร่างที่กอดจูบกันอยู่นอกหน้าต่าง พ่อบ้านเซี่ยถามด้วยความกังวลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“แน่นอนครับ” โอเล่ย์อมยาพลางกล่าว “ตอนนั้นเพื่อจะเลี่ยงเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน ประธานเหมือนใช้ความพยายามทั้งชีวิตพลิกสถานการณ์หักขวาเต็มแรงขนาดที่คนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ เสี่ยงชีวิตจริงๆ”
“เฮ้อ แล้วนี่จะทำยังไงละเนี่ย?” พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างร้อนรนพร้อมเดินวนไปมา “เมื่อครู่คุณชายเดินแข็งๆ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บไปถึงโครงกระดูกกับอวัยวะภายในรึเปล่า หากพลาดเวลารักษาที่ดีที่สุดไป ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์เลย!”
“ลุงเซี่ยครับ คุณว่าขัดจังหวะพวกเขาหน่อยดีไหมครับ? ตรวจประธานก่อนแล้วค่อยไปจูบกันใหม่” โอเล่ย์พิงขอบหน้าต่างพลางถูที่ไหล่ สายตามองไปยังคนคู่หนึ่งที่อยู่ชั้นล่าง “อีกอย่าง เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนตากฝนมาตั้งนานแล้ว ไม่อบอุ่นร่างกาย ถ้าเป็นหวัดไปจะทำอย่างไร?”
“ใครก็หยุดพวกเขาไม่ได้หรอก” พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างผู้มีประสบการณ์พลางโบกมือ “แรงกระตุ้นที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือนแบบนี้ ดีกรีความร้อนของร่างกาย ทำให้ไข่สุกยังได้เลย วางใจเถอะ”
“เอ่อ.....ลุงเซี่ยนี่เป็นผู้รอบรู้จริงๆ สักครู่นะครับ---” โอเล่ย์จู่ๆนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ พลางขมวดคิ้วคิด ครู่เดียว ก็ตกใจ “เอี๋ยนหยู่โรวยังอยู่ในรถ น่าจะสลบไปแล้ว!”
“เอ้ย ลืมเธอไปได้ยังไงเนี่ย? จะยังไงเธอก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณชายไว้นะ” พ่อบ้านเซี่ยรู้สึกตนเองบกพร่องในหน้าที่ รีบนำคนรับใช้สองคนลงไปย้ายเอี๋ยนหยู่โรว
โอเล่ย์พรั่งพรูออกมาในหนึ่งอึดใจ ไม่รู้ว่าจะตำหนิตนเองไหม ที่หลงลืมคนเป็นๆคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ได้อย่างไร?
เวลานั้นตื่นเต้นกับเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจนเกินไป ไม่ต้องพุดถึงประธาน ใจของเขายื้อยุดเอาไว้ หากชนถูกเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนขึ้นมา จะมีผลอย่างไร? เห็นเธอถูกลงโทษ ดวงใจก็แทบจะแหลกละเอียดแล้ว โครม ฝนยังคงตก
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมึนงงอย่างเหลือร้ายไปทั้งร่าง ไม่มีทางที่จะหายใจได้เลย จูบของเซียวเซิ่งช่างเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับปรารถนาอย่างจริงใจที่จะจูบเธอจนหมดสติไปอย่างนั้น
ไม่นาน เธอที่ยังคงสับสนถูกเซียวเซิ่งอุ้มกลับไปที่ห้อง หลังจากนั้นก็อาบน้ำ ดื่มชาขิง ประคบเย็นบนใบหน้า และนอน แน่นอนว่านอกจากการนอนแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นผู้ชายคนนั้นช่วยทำให้เธอ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า จริงๆแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ละเอียดถี่ถ้วนคนหนึ่ง รู้จักทะนุถนอมคน แต่เธอไม่ต้องการให้เขาทะนุถนอม....
หลังจากเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนนอนหลับไปแล้ว เซียวเซิ่งอาศัยคุณหมอที่มีชื่อเสียงสองคนไปเป็นเพื่อน รีบไปยังโรงพยาบาลเพื่อรักษากระดูกซี่โครง เนื่องจากหายใจลำบาก
ที่นั่งข้างคนขับเดิมทีก็เป็นที่ตำแหน่งที่นั่งที่อันตรายที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะปกป้องเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเขาไม่สนตัวเอง ทำอย่างสุดความสามารถ ไม่ได้สนใจตนเอง นั่นย่อมหนีความหายนะไปไม่พ้น
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง อย่าไปคิดว่าใครติดค้างคุณ บางทีคนนั้นอาจจะตอบแทนมาแต่แรกแล้วก็เป็นได้
วันที่สองเมื่อถึงตอนเช้า เซียวเซิ่งปรากฏตัวอยู่ที่โต๊ะกินข้าวอย่างตรงเวลา สีหน้าเป็นปกติ เสื้อเชิ้ตสีดำบนร่างกายที่สูงสง่า อารมณ์สง่างามและเข้มงวด
“เรียกเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนลงมาทานข้าวเช้าด้วย”
“คุณชายครับ ผมเรียกไปแล้วครับ เธอบอกว่าอยากนอน” เซี่ยเอ่อแสดงสีหน้าอย่างหมดหนทาง “แต่ว่า เธอเจาะจงถามถึงคุณและโอเล่ย์ว่าได้รับบาดเจ็บไหม ผมบอกไปว่าไม่มี เธอยังคงบอกว่าขอโทษ เหมือนกับรู้สึกผิดและอับอายต่อการกระทำของตนเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น