เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น นิยาย บท 112

หลังจากที่ขับรถออกมาไกลแล้ว เห็นสีหน้าของท่านประธานยังคงโกรธหน้าเขียวอยู่ โอเล่ย์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ท่านประธาน อย่าหงุดหงิดไปเลย เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็แค่เห็นว่าคุณโกรธ จึงตัดผมตัวเองเพื่อให้คุณหายโกรธ ช่างเป็นเด็กน้อยที่ใสซื่อจริงๆ”

“……ตีความได้ดี”เซียวเซิ่งเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาไปแวบหนึ่ง มุมปากยกหยักอย่างเย้ยหยัน“เธอไม่ได้อยากให้ฉันหายโกรธ แต่เธออยากให้ฉันอกแตกตายมากกว่า”

“ใจเย็นๆครับ สักพักเดี๋ยวมันก็ยาว”โอเล่ย์พูดปลอบเขา

“ตอนนี้มีไว้ใช้ ตัวเธอเองไม่มีขน ฉันปลูกแล้วเอาไว้ใช้กันสองคน ผู้หญิงไม่เอาไหนคนนี้กลับโกนมันทิ้ง จะไม่ให้โกรธได้ยังไง?”เซียวเซิ่งดึงเนกไทไปมาอย่างหงุดหงิด ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับจะกระเด็นออกมาจากคอหอยให้ได้ในเดี๋ยวนั้น

จะบ้าตาย ภรรยาท่านประธานช่างแปลกประหลาดจริงๆ ของแบบนี้ยังใช้ร่วมกันได้ ?

“ยังมีอีกข้างหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ?”มือของโอเล่ย์จับอยู่ที่พวงมาลัยรถ อดไม่ได้ที่จะพูดหยอก“แต่ท่านประธาน เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นคุณจะสนใจขนรักแร้ขนาดนี้มาก่อน ยังดูแลมันเป็นพิเศษอีก ฟังแล้วก็ดูตลกดี ”

เซียวเซิ่งหยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วคีบไว้ในปาก ต่อไฟเสร็จแล้วจึงพูดว่า“ผู้หญิงคนนั้นชอบขนรักแร้มาก เวลานอนก็ต้องซุกตัวอยู่กับมัน ไม่อย่างนั้นผู้ชายอย่างฉัน จะดูแลมันเพราะกินข้าวอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรให้ทำหรือยังไง?”

โอเล่ย์ไม่เห็นด้วย“เธอน่าจะไม่ชอบมากกว่า ถ้าชอบจะโกนมันทิ้งได้ยังไงกันล่ะครับ”

เซียวเซิ่งพ่นควันบุหรี่เป็นวงกลมที่สวยงามออกมา พูดอย่างลึกซึ้ง“คนบางคนก็โง่เขลามาก ตัวเองชอบอะไรก็ยังไม่รู้ ต้องให้สูญเสียไปแล้วถึงจะมาเสียใจภายหลัง”

คำพูดนี้แม้จะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่ก็ถูกต้องอย่างที่สุด โอเล่ย์เถียงไม่ออกอยู่สักพัก หัวสมองก็มีภาพของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนที่แกะของขวัญเมื่อวานผุดขึ้นมา ในตอนนั้นเธอแกะมันอย่างเร่งรีบ ดูออกว่าร้อนรนเป็นอย่างมาก ทำไมถึงร้อนรน เพราะเธอแคร์!เธอตกหลุมรักท่านประธานแล้วแต่กลับไม่รู้ตัว หรืออาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้……

หลังจากที่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมองดูรถของเซียวเซิ่งเคลื่อนตัวออกไปจนหายลับไปแล้ว ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ประตูนานสองนาน จากนั้น ขอบตาก็ค่อยๆแดงเรื่อขึ้นมา——ฉันขอโทษ เซียวเซิ่ง หากไม่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้ แล้วฉันจะยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวคุณไปอีกทำไมกัน?

เธอเสียใจอยู่ลำพังคนเดียว ไม่ทันได้สังเกตเห็นพ่อบ้านเซี่ยที่กำลังจับจ้องมองเธออยู่อย่างไม่วางตา จากนั้นเธอก็ขึ้นไปยังชั้นบน พ่อบ้านเซี่ยก็ตามหลังไป จนเธอเข้าไปในห้อง ในตอนที่ปิดประตู พ่อบ้านเซี่ยยังอยากจะตามเข้าไป

“ลุงเซี่ย หนูตัดผมไปช่อหนึ่งแล้วมันดูน่าเกลียดมากใช่ไหม ลุงถึงได้คอยตามมองดูแบบนี้?”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ในความรู้สึกของเธอพ่อบ้านเซี่ยนั้นเป็นชายสูงวัยที่วางตัวดีมาโดยตลอด ทำไมวันนี้ถึงดูแปลกไป?

พ่อบ้านเซี่ยรู้สึกตัวขึ้นในทันที ยิ้มให้เธออย่างเก้อเขิน“ขอโทษที ที่ผมจ้องไม่ใช่เพราะคุณดูน่าเกลียด แต่ลักษณะท่าทางของคุณเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก”

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนนิ่งไปชั่วขณะ ถามอย่างตื่นเต้น“เหมือนใครคะ?”

พ่อบ้านเซี่ยไม่ได้ตอบในทันที มองสำรวจเธออย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง จากนั้นก็ส่ายหัว“แต่พอมองดูดีๆ ก็ไม่เหมือนแล้ว”

“เอ่อ……”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกุมหน้าผาก หลงดีใจเก้อ นึกว่าพ่อบ้านเซี่ยจะเคยเห็นแม่ของเธอ แม้หวงฟางจะบอกว่าแม่เธอตายไปแล้ว แต่เธอไม่ค่อยเชื่อมันเท่าไร

“ลุงเซี่ย ช่วยตามหงยวี่ให้หนูหน่อย หนูมีธุระกับเธอ”

“ได้”เมื่อเห็นเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนปิดประตู พ่อบ้านเซี่ยก็หันหลังแล้วเดินไปที่บันได คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

อันที่จริงแล้วหลังจากที่เขาได้เห็นทรงผมที่สั้นเตียนของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน มองดูแล้วก็เหมือนฉินเหรินเฟิ่งอย่างมาก เพราะฉินเหรินเฟิ่งก็เคยตัดทรงผมแบบนี้มาก่อน แต่พอมองดูดีๆก็ไม่เหมือนกัน ฉินเหรินเฟิ่งนั้นสวยงามและห้าวหาญ ดวงตาไม่ได้ใสซื่อและงดงามอย่างเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน……หากเปรียบฉินเหรินเฟิ่งเป็นลมหนาวในแดนเหนือ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็เป็นหิมะในแดนใต้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น