ฉินเหรินเฟิ่งได้ชื่อว่าเป็นคนใจแข็งในอาชีพธุรกิจ แข็งแกร่งและมีสายตาที่เฉียบแหลม โดดเด่น เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ ในฐานะที่เป็นผู้พลิกสถานการณ์ในวงการอัญมณี ผู้หญิงที่สูงตระหง่าน รู้ไม่ถึงแก่นก็ไม่ได้
ดังนั้น น้ำตาสำหรับเธอแล้วไม่มีเคยมีอยู่เลย
แต่เวลานี้ น้ำตาร้อนๆของเธอกลับไหลลงมา คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน เป็นการยากที่จะซ่อนความทุกข์ระทมในใจเอาไว้ กงเสวียนโม่จึงต้องให้ความสำคัญขึ้นมา
“ร้องไห้อะไรน่ะ?” เขาเอ่ยถามนิ่งๆ น้ำเสียงเย็นชาไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
บุคคลในสังคมชั้นสูงของจงโจวมีสองที่พึ่งชั่วคราว - -เซียวเซิ่งและกงเสวียนโม่ ระดับความหล่อเหลาของทั้งสองคนบรรลุถึงขั้นสุด ระดับความเย็นชาก็ยอดเยี่ยมที่สุดเช่นกัน
ถ้าหากทั้งสองคนนี้มาพบกันโดยบังเอิญ คนที่อยู่รอบๆก็จะประสบกับหายนะ ลมกรรโชกแรง หิมะโปรยปรายปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ทำให้ชีวิตคนสองสามชีวิตแช่แข็งตายไปได้เลย
“ในใจของฉันรู้สึกแย่มาก เจ็บเหมือนกับมีดกรีด” ฉินเหรินเฟิ่งเช็ดตรงหางตา เอาเอกสารที่ตัวเองต้องตรวจสอบด่วนทั้งหมดดันมาที่โต๊ะของกงเสวียนโม่ “โม่ ฉันต้องไปแล้ว พวกนี้คุณจัดการแทนฉันก็แล้วกัน”
“สภาพคุณแบบนี้ จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
กงเสวียนโม่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ มือทั้งสองประสานกันไว้ตรงใต้คาง มองฉินเหรินเฟิ่งด้วยสีหน้านิ่งๆ “ถ้าหากสะดวก คุณสามารถระบายความในใจกับผมได้นะ หลังจากนั้นผมจะได้ตัดสินให้ว่าคุณจะไปได้หรือเปล่า”
ฉินเหรินเฟิ่งยกมือขึ้นมาตีลงบนหน้าอก น้ำตาคลอ สีหน้าท่าทางเศร้าสลด “ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดถึงกับคุณมาก่อนเลยว่าความจริงแล้วฉันเคยมีลูกแล้ว”
แววตาของกงเสวียนโม่เปลี่ยนไปอย่างจริงจังขึ้นมา พลางเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา “ลูกชาย ลูกสาว?”
เขาสนใจเรื่องเพศของเด็กมากกว่า เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สไตล์ของเขาเลย
แต่ฉินเหรินเฟิ่งนั้นเศร้าเกินกว่าจะมาสนใจประเด็นสำคัญของเขา “ฉันรู้เสียที่ไหนกันว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาว? คลอดออกมาฉันก็ไม่เคยเห็น เป็นหรือตายก็ไม่รู้ แต่จากอายุที่มากขึ้น ฉันก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงการมีชีวิตอยู่ของลูก เขาคงยังไม่ตาย”
“แล้วผู้ชายคนนั้นของคุณล่ะ?” กงเสวียนโม่จ้องมองเธอ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินฉินเหรินเฟิ่งพูดถึงผู้ชายคนนั้น และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาถาม
“ขาดการติดต่อไปแล้วค่ะ ฉันเองก็เคยหาเขาอยู่หลายปี แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนั้นจะหาเจอได้ยังไง? ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือเปล่า” เมื่อนึกถึงคนรักในอดีต ฉินเหรินเฟิ่งก็รู้สึกเสียใจผิดหวัง ใบหน้าที่สวยงามมีน้ำตาไหลอาบลงมา
คู่หมั้นของเธอชื่อจูเลี่ยหาน แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกว่าหล่อแล้ว ความจริงแล้วนั้นตัวจริงของเขาหล่อยิ่งกว่า หล่อแม้กระทั่งแค่ใบหน้าด้านข้าง
ในปีนั้นที่ฉินเหรินเฟิ่งถูกตระกูลศัตรูไล่ตามจับ ในระหว่างที่หนี ลูกก็หลุด ดังนั้นจึงตกใจกลัวมาก จนถึงตอนนี้แม้ว่าเธอจะร่ำรวย ก็ยังคงทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจ ไม่กล้าทำให้รู้กันไปทั่ว และยิ่งไม่กล้าบอกใครด้วยเช่นกันว่าตัวเองก็คือม้งเสี่ยวเฟิ่งลูกสาวของหัวหน้าตระกูลม้งกู่ในตอนนั้น
เธอเคยแอบตามหาคู่หมั้นอยู่สองสามปี แต่ไม่มีเบาะแสะเลยแม้แต่นิดเดียว ระยะเวลาผ่านไปนาน ความคิดที่อยากจะตามหาคนนั้นก็จางหายไปแล้ว แต่ฉินเหรินเฟิ่งก็เคยลืมคู่หมั้นของเธอ เพื่อเขาแล้วตัวเองจึงอยู่เป็นโสดมาตลอด ไม่เคยสัมผัสผู้ชายอีกเลย.....
“การร้องไห้มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกนะ” กงเสวียนโม่ขมวดคิ้วขึ้น แล้วดึงกระดาษทิชชู้ส่งให้ฉินเหรินเฟิ่ง
ถึงแม้ว่าเขาจะใจแข็ง แต่กับคู่ขาที่ร่วมธุรกิจกันมานานถึงสามปี ก็เต็มใจที่จะใส่ใจอยู่แล้ว “ความจริงแล้วผมเองก็มีเรื่องนึงที่ยังไม่ได้บอกคุณเหมือนกัน.....”
“เรื่องอะไรคะ?” ฉินเหรินเฟิ่งเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยถาม
“เรื่องของคุณ กับเรื่องของผม บางทีก็เป็นเรื่องเดียวกัน” กงเสวียนโม่เอ่ยพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
เขาลุกขึ้นยืน เดินมาตรงด้านหน้าตู้เหล้าอย่างสง่างาม รินไวน์ไว้สองแก้ว แล้วยื่นส่งให้กับฉินเหรินเฟิ่งแก้วหนึ่ง “รู้ว่าทำไมผมถึงได้เลือกคุณมาเป็นคนที่ร่วมหุ้นด้วยไหม?”
ปกติแล้วกงเสวียนโม่เกลียดการร่วมทำงานกับผู้หญิงมากที่สุด เนื่องจากผู้หญิงมักจะเกิดอารมณ์ได้ง่ายเกินไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินมองและวิเคราะห์ปัญหาจากสภาพจริง แต่เขากลับไม่ลังเลที่จะรับฉินเหรินเฟิ่งมาเป็นคนที่ร่วมหุ้นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น