เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น นิยาย บท 260

ในฐานะที่เป็นคนบ้าคนหน้าตาดีอย่างมากคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิดมาอูเจินจูก็หลงรักแต่เทพบุตรเท่านั้น ทันทีที่ได้เห็นเทพบุตรระดับนี้ ในดวงตาของเธอก็จะปรากฏคลื่นจักรวาลเล็กระลอกแล้วระลอกเล่า

แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่ารูปร่างหน้าตาของตนเองธรรมดา ไม่มีทางได้ครอบครองเทพบุตร ทำได้เพียงแค่ชื่นชมก็เท่านั้น ในเมื่อเซียวเซิ่งเป็นราชาในบรรดาเทพบุตร ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเธอก็จะต้องจับเอาไว้ให้อยู่หมัดเพื่อพี่น้อง จะมอบให้แก่คนนอกอย่างง่ายดายไม่ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อูเจินจูก็หันไปยิ้มแย้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งกับเซียวเซิ่ง หันหลังกลับเดินไปทางห้องของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน

เซียวเซิ่งก็เก็บรอยยิ้มลงไปอย่างรวดเร็ว แขนข้างหนึ่งวางอยู่บนโซฟา สีหน้าเย็นชาน่ากลัว สง่างามและชั่วร้ายซึ่งแตกต่างจากเมื่อตอนที่แสดงละครกับอูเจินจูราวกับคนละคน บนโลกนี้ มีเพียงแค่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเท่านั้นที่จะได้รับรอยยิ้มที่จริงใจของเขา

ก๊อกก๊อก

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนที่กำลังแอบนอนร้องไห้ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็สะดุ้งตกใจ ปาดน้ำตาอย่างลนลานแล้วเอ่ยถาม “ใครน่ะ?”

“ฉันเอง”เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของอูเจินจูดังลอยมา “ยังไม่นอนใช่ไหม พี่เข้าไปละนะ”

พูดจบก็ไม่ได้ให้เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนปฏิเสธ บิดที่จับเปิดเข้าไปทันที ตอนที่ปิดประตู เธอตั้งใจแง้มประตูเอาไว้เป็นพิเศษ

และเซียวเซิ่งก็แอบย่องไปที่ข้างประตูอย่างไร้เสียง หลังพิงกับกำแพง เอียงหัวเล็กน้อยไปมองที่ระหว่างช่องของประตู......

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนนั่งปาดน้ำตาจากหางตาอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กที่งดงามมีประกายของน้ำตา ดวงตากลมโตคู่นั้นเปียกชื้น น้ำตาเกาะอยู่ที่ปลายขนตา ริมฝีปากอมชมพูงดงามเป็นที่สุดเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ

เธอร้องไห้ตลอดเวลาเลยงั้นหรือ?

หัวใจของเซียวเซิ่งบีบรัดขึ้นมาฉับพลัน ร้อนใจจนดวงตาแดงฉานขึ้นมาทันที แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปเสียตอนนี้ นำเธอมากอดไว้ในอ้อมอกแน่นๆ ไม่คลายอ้อมกอด

เขาไม่สามารถทนดูเธอเสียน้ำตาได้

ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เขารู้สึกว่าทั่วทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง เข่าอ่อนจนอยากจะคุกเข่า เซลล์ทั้งหมดของร่างกายต่างก็เจ็บปวดจนเหมือนถูกควักหัวใจออกมา......

“เธอร้องไห้ทำไม?”เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน อูเจินจูก็ทุกข์ใจอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันบอกว่าเธอร้องไห้ตลอดเวลาเลยใช่ไหม? คิดถึงเซียวเซิ่งแล้วใช่ไหม? กลัวว่าเขาจะไม่แต่งงานกับเธออีกครั้ง กลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอ?”

“ไม่ได้ร้องไห้ตลอดเวลานะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซะหน่อย”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนสูดจมูกทีหนึ่ง เอ่ยกล่าวอย่างหลบเลี่ยง

“เธอปิดบังความคิดเล็กๆนั้นกับฉันไม่ได้หรอก!”อูเจินจูจ้องมองเธอตาเขม็ง “ภายนอกไม่ใส่ใจ แต่ภายในใจบอบช้ำ ว่าแต่เสี่ยวเนี่ยนท้ายที่สุดแล้วเธอตกเป็นอยู่ในฐานะเบี้ยล่าง ถ้าหากตระกูลไม่เซียวไม่ยอมรับเธอตลอดไป เธอจะทำอย่างไร?”

ทันทีที่ถูกเธอถามแบบนี้ จมูกของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็ปวดร้าวทันที น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้อีกครั้ง “เจินจู ฉันขบคิดมาค่อนวัน คิดเสมอว่าวาสนาของฉันกับเซียวเซิ่งมาได้ถึงแค่ตรงนี้แล้ว”

เธอเหลวไหลสิ้นดี เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน! เซียวเซิ่งโมโหจนอยากจะถีบประตู ยกขาขึ้นมาแล้ว ก็ค่อยๆวางกลับลงไป

ฟังดูก่อนว่าเธอจะพูดอย่างไร

“จะเป็นไปได้ยังไง?”อูเจินจูอารมณ์ฉุนเฉียวที่เธอร้องไห้ มองไปทางช่องประตูแวบหนึ่ง เสนอความคิดเห็นอย่างลองเชิง “ถ้าไม่อย่างนั้นฉันเรียกตัวเซียวเซิ่งมา เธอไปกับเขาเถอะ! ฉันคิดว่าหนีตามผู้ชายไปจะดีกว่า”

“ไม่ล่ะ”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเงยหน้ามองไปทางฝ้าเพดาน บังคับให้น้ำตากลับลงไป “ฉันไม่สามารถให้เซียวเซิ่งละทิ้งอนาคตที่สดใส แล้วมาใช้ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายกับฉัน การอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็จะไม่มีทางมีความสุข”

อีกอย่างถ้าหากหนีก็อาจจะถูกจับตัวกลับมาได้ ถึงตอนนั้นจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

แม่ของเซียวเซิ่งยังร้ายกาจมากขนาดนั้น คงไม่ต้องพูดถึงพ่อของเขา? ตนเองยังมีลูกชายอายุสามขวบอีกคนหนึ่ง จะให้ไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขามาหาสักรอบ?”อูเจินจูอยากจะนำเซียวเซิ่งดันออกมา “พวกเธอระบายความในใจที่คิดถึงกันและกันหน่อยก็ดี”

“ไม่ต้องหรอก”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนส่ายหน้าอีกครั้ง “การหย่าร้างก็ต้องมีท่าทีของการหย่าร้าง ฉันไม่มีทางขอร้องให้ชาวบ้านเขามาดูฉัน ยิ่งไม่อยากจะตัวติดกันกับเขา ถึงอย่างไรฉันกับเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ชาวบ้านเขาไม่ได้มีหน้าที่ที่ต้องเรียกปุ๊บต้องมาปั๊บ”

ได้ยินมาว่าผู้ชายล้วนรำคาญภรรยาที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ลักษณะท่าทางของเธอในตอนนี้ จะมีหน้าไปพบเซียวเซิ่งได้อย่างไรกัน?

“เอาละ เธอเลิกคิดส่งเดชได้แล้ว!”อูเจินจูรีบขัดจังหวะ นำกล่องข้าววางไว้บนโต๊ะ “ขอเพียงแค่เซียวเซิ่งรักเดียวใจเดียวต่อเธอ พวกเธอจะต้องมีวันที่ได้หลุดพ้นจากสภาพที่เลวร้ายแน่นอน สิ่งที่สำคัญคือ เธอสามารถยืนหยัดรักเขาไม่เปลี่ยนใจได้ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนรู้สึกนิดๆว่าอูเจินจูผิดปกติ ขมวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้เธอคุยกับใครตอนอยู่ข้างนอก?”

คงไม่ใช่เซียวเซิ่งหรอกมั้ง?

“เป็นคนส่งอาหาร ฉันสั่งโจ๊กไก่ฉีกมาสองชุด ลงมากินเถอะ”อูเจินจูชำนาญเรื่องการมั่วไปตามน้ำที่สุด ในเมื่อเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่อยากพบเซียวเซิ่ง เธอจะบอกว่าเซียวเซิ่งเป็นคนซื้อให้ไม่ได้แล้ว

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็ไม่ได้สงสัย กล่าวขอบคุณกับเพื่อนสนิท จัดเก็บข้าวของบนโต๊ะเล็กที่หัวเตียงครู่หนึ่ง ทันทีที่ฝาของกล่องข้าวถูกเปิดออก กลิ่นหอมของโจ๊กก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง

มองดูอาหารที่ชื่นชอบ ดวงตาของเธออดไม่ได้ที่จะเปล่งประกาย ถึงขนาดไม่ทันได้นั่งลง ก็ยกถ้วยโจ๊กขึ้นมาแล้วดื่มอึกอึกลงไปทันที

“เฮ้เฮ้เฮ้......”อูเจินจูตกใจ รีบแย่งถ้วยแล้ววางลง “ทำไมเธอถึงตะกละตะกลามแบบนี้? ไก่ฉีกที่อยู่ข้างในต้องเคี้ยวก่อนถึงจะกลืนได้!”

เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองยั้งสติไม่อยู่ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็กัดริมฝีปากครึ่งหนึ่งเอาไว้อย่างเสียใจ ในใจรู้สึกละอายไม่สบายใจ

โดยปกติแล้วเธอค่อนข้างสุภาพเรียบร้อย ทานข้าวไม่ถึงกับค่อยๆเคี้ยวค่อยๆกลืน แต่ก็ไม่มีทางกินอย่างตะกละตะกลามอย่างเด็ดขาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้จะกินโจ๊กเกือบหมดในคราวเดียว มันไม่ใช่สไลต์ของเธอ

ด้านนอกประตูห้อง เซียวเซิ่งเรียกสายตากลับคืนมา บนใบหน้าที่เย็นชาและน่ากลัวปรากฏความกังวลและตำหนิตนเองขึ้นมา

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะต้องหิวมากถึงจะเป็นแบบนี้ ข้างกายของเธอก็ไม่มีคนที่คอยพิถีพิถันดูแลเอาใส่ใจ น่าสงสารมากจริงๆ......

ถึงแม้ว่าอูเจินจูจะดี แต่ก็ยังปล่อยปละละเลยอยู่บ้าง แม้แต่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนที่ยังไม่ได้กินข้าวจนถึงตอนนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอก็ยังไม่รู้

ภายในใจของเซียวเซิ่งร้อนใจจนพองตัวขึ้นมา หลับตาลงเบาๆ ขนตาหนาที่อยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจ้องมองไปที่เงาดำสองเงา

“เธอหน้าแดงอะไ?”อูเจินจูนำช้อนเล็กใส่ลงในถ้วยของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน “ฉันไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ เพียงแค่กลัวว่าเธอจะสำลัก ค่อยๆกินนะ อย่าเหมือนกับผู้ประสบภัย”

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าอย่างเขินอาย จับช้อนเล็กเอาไว้ ตักโจ๊กขึ้นมาช้อนหนึ่งอย่างสุภาพแล้วส่งเข้าไปในปาก

เช่นนี้อูเจินจูถึงวางใจลงได้ เริ่มกินในส่วนนั้นของตนเอง ภายในหัวสมองกำลังครุ่นคิดว่าควรจะกระตุ้นหัวข้อสนทนาขึ้นมาอย่างไร เพื่อช่วยเซียวเซิ่งอีกครั้ง......

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกินไปอีกสองสามคำ ก็อดไม่ได้ที่จะใจร้อนอีก ใช้หางตาเหลือบมองอูเจินจูแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทกินอย่างตั้งใจ ไม่มาสนใจตนเอง เธอยกชามข้าวขึ้นอีกครั้ง กินหมดในรวดเดียว จากนั้นก็ใช้ช้อนกวาดเศษๆที่เหลือเข้าไปในปาก

เซียวเซิ่งยิ้มอย่างจนปัญญาทันที ยัยหนูหิวจนเป็นแบบนี้! ท่าทางของเธอดูเหมือนว่าจะยังกินไม่อิ่มนะ อย่างไรก็จะกินไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะนอนไม่หลับแล้ว

อูเจินจูกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่าด้านข้างมีอายสังหาร

ทันทีที่เธอหันหน้าไปก็มองเห็นเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจ้องชามโจ๊กของเธอตาไม่กะพริบ ดวงตาที่เหมือนกับองุ่นสีดำสองเม็ดไม่กะพริบเลยสักนิด ท่าทางที่ละโมบเหมือนกับเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่ง

พรวด! อูเจินจูอดไม่ได้ที่จะขำออกมา “ฉันว่า เธอยังกินไม่อิ่มนะ?”

“หา?”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนได้สติกลับคืนมาตัวสั่น ละสายตาออกอย่างรีบร้อน “กิน กินอิ่มแล้ว ชามใหญ่ขนาดนั้นทำไมจะกินไม่อิ่ม?”

“ฉันคิดว่าไม่ใช่นะ!”จ้องมองชามเปล่าของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน อูเจินจูขมวดหว่างคิ้ว “ทำไมเธอกินจุมากขึ้นกว่าเดิมเร็วขนาดนี้ล่ะ?”

เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมีฉายากระเพาะนก ปริมาณอาหารที่กินค่อนข้างน้อยมาโดยตลอด ต่อให้เป็นตอนที่ตั้งท้องเอี๋ยนต้าฟา ก็ไม่เคยเห็นเธอกินแบบนี้มาก่อน

“อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้กินข้าวเย็น ฉันไปแปรงฟันก่อน”เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนลุกขึ้นคิดจะหลบเลี่ยง เมื่อมองเห็นเจินจูเคี้ยวปลาเงิน น้ำลายของเธอแทบจะไหลออกมา รู้สึกอยากกินเป็นอย่างยิ่ง

“สะอาดอย่างกับด้วงมูล”อูเจินจูพูดเหน็บแล้วดึงมือของเธอเอาไว้ “ไม่ต้องแปรงก็ได้ อย่าดัดจริตมากเกินไปหน่อยเลยน่า”

เซียวเซิ่งยังอยู่ด้านนอกนะ เธอกลัวว่าเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะเห็นเข้าแล้วจะต่อว่าว่าเธอชักศึกเข้าบ้าน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น