Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี นิยาย บท 278

บทที่ 278 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (4)

[เอาจริงดิ… ฉันได้จัดการฆ่าเจ้าสิ่งนี้ไปได้ยังไง?]
“นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะถามเธอมากกว่า แค่ได้มามองอีกครั้งก็น่ากลัวแล้ว ถ้าฉันได้เผชิญหน้ากับเจ้านี่ตรงๆฉันได้ถูกขยี้ไปในทันทีแน่”
[อืมม เจ้านี่น่ะแม้แต่ในหมู่คลาส 7 ด้วยกันก็ยังนับว่าทรงพลังเลย ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่อาจจะฆ่ามันได้ในการสู้หนึ่งต่อหนึ่งแน่ ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะนาเทียก็อยู่ที่นั่นด้วย]

เมื่อสักครู่นี้เฮเรียน่าได้ต่อสู้กับเลียร่าอยู่ แต่ว่าเมื่อยูอิลฮานได้หยิบเอาร่างของเคลาทูคออกมาทำให้เธอหมดความสนใจที่จะสู้ต่อและลอยเข้ามาหายูอิลฮานแทน เธออยากจะให้เขาเอาใจเธอเพราะเธอเป็นคนที่ทำให้เขาได้รับร่างนี้มา

“อืมม ขอบคุณนะ ขอบคุณเธอมากเลย”
[ฟุฟุ]

ในอดีตเคลาทูคได้โดนผลจากเสน่ห์ของเฮเรียน่าและเข้าไปสูกับปีกที่ 8 แห่งกองทัพจรัสแสงนาเทียจนบาดเจ็บทั้งคู่และต้องเสียชีวิตไป ยังไงก็ตามพลังเวทย์ในร่างที่มหาศาลของมันยังคงอยู่และช่วยซ่อมแซมร่างกายให้กับมัน ทำให้ตอนนี้ร่างกายของมันได้ถูกฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์จนทำให้คนมองต้องสงสัยว่ามันตายไปแล้วจริงๆแน่หรือ

“สำหรับตอนนี้ฉันจำเป็นต้อง… ชำแหละมัน”
[นายท่านดูจะจริงจังยิ่งกว่าเก่าอีกครั้ง… ในบางครั้งฉันก็อิจฉาในความหลงใหลไร้ประโยชน์ของนายท่านจริงๆ]
“อย่าพูดว่าไร้ประโยชน์เชียวนะ”

ยูอิลฮานได้จัดไฟขึ้นบนปลายหอกมังกรแปดหาง เพลิงนี้คือเพลิงโปร่งแสงที่ยูอิลฮานใชได้หลังจากที่เขาได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง

เพลิงได้ถูกบีบอัดอยู่ที่ปลายหอกของเขานั้นมีแค่มองเห็นได้รางๆนั้นเท่านั้น แต่ว่าพลังที่อยู่ภายในของมันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ยูอิลฮานได้รับพรจากเทพธิดาแห่งเพลิง

[ฉันยังรู้สึกได้ถึงพลังของมังกรอีกด้วย]
“นี่ก็คือประกายเพลิงที่ถูกเสริมพลังจากโลหิตมังกร นอกไปจากนี้ก็ยังมีเพลิงโอโรจิ เพลิงม่วง รวมไปถึงเพลิงนิรันดร์ด้วยนะ”
[หากว่าเสริมดวงใจแห่งเพลิง(เปลื่ยนจากหัวใจแห่งเพลิง)ที่นายมีอยู่ ฉันคิดว่ามันอาจจะถูกเพิ่มพลังมากยิ่งขึ้นไปอีกนะ]
“ไว้คุยเรื่องนี้หลังจากจัดการงานนี้เสร็จล่ะกัน”

เขาไดใช้ปลายหอกจ่อแทงลงไปที่หัวของเคลาทูค หากว่าเคลาทูคยังมีชีวิตอยู่เขาคงไม่อาจจะแทงเข้าไปแน่ แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น คมหอกได้แทงลงไปอย่างราบรื่นราวกับผ่าเต้าหู้ ยูอิลฮานได้แทงลึกเข้าไปทีล่ะนิดพร้อมๆกับการสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เลือดได้กระจายออกไปจนทั่ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ได้ใช้ที่เก็บที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเก็บเลือดทั้งหมดนี้เอาไว้

“เยี่ยม ฉันคิดว่ามันได้ผลแหะ”

หอกของเขาได้กลายเป็นเร็วยิ่งขึ้น เมื่อเนื้อในของฉลามติดเกราะขนาดมหึมาที่มีขนาดร้อยกว่าเมตรได้ยิ่งเผยออกมา นายูนาก็ได้ตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ

“อิลฮาน! ฉันอยากจะกินซุปหูฉลามล่ะ~”
“ถ้าฉันเอาหูเจ้านี่มาทำเป็นศพก็คงจะพอให้ทุกๆคนในนี้ได้กินล่ะนะ”
“พ่อครับ ผมก็เหมือนกัน”
“ไม่ใช่ว่าลูกกินเนื้อมังกรไปเยอะแล้วหรอกหรอ!?”
“เนื้อฉลามดูน่าอร่อยกว่าครับ!”

ยูอิลฮานได้ชำแหละเคลาทูคเพื่อที่จะเอามาเสริมพลังให้กับป้อมปราการลอยฟ้า แต่ว่าพรรคพวกที่เหลือของเขากลับอยากที่จะกินเนื้อฉลาม

ที่จริงแล้วเนื้อฉลามเป็นวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารที่ดีมากอย่างหนึ่งเลยหากไม่คำนึงถึงเรื่องการเน่าเสียที่ไวมากๆของมัน แต่ว่าเนื้อของเคลาทูคมีมานาอยู่จำนวนมากทำให้ถึงจะปล่อยไว้เป็นร้อยปีก็ไม่มีวันจะเน่าเสียแน่

แล้วก็ด้วยสกิลทำอาหารที่เขาได้เชี่ยวชาญแล้ว ยูอิลฮานก็อยากจะทำซูซิฉลามเช่นกัน

“…ในเมื่อฉันไม่ต้องใช้เนื้อเพราะงั้นเราจะกินมันกันใช่ไหม?”
“เราจะกิน…”

ยูอิลฮานได้แยกกระดูกกับเกราะโลหะออกจากกัน จากนั้นก็ตัดหูฉลามกับเนื้อชิ้นที่เหมาะมาทำเป็นซูชิ อย่างแรกเขาได้หั่นหูฉลามเป็นชิ้นๆไปใส่ในหม้อทำน้ำซุป ตัดเอาส่วนเนื้อไปทำเป็นซูชิบางๆ เมื่อได้เห็นการทำอาหารของยูอิลฮาน คังมิเรย์กับนายูนาได้รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ในด้านนี้

“ฉันยังทำมาม่าไม่ได้เลย…”
“อิลฮานทำอาหารให้เราก็ดีนะ แต่ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆกันนะ นี่มันดีแล้วแน่หรอ?”
“พ่อครับ เร็วสิครับ เร็วเข้า!”

เมื่อยูอิลฮานชินกับมันการทำอาหารของเขาก็ได้เร็วยิ่งขึ้น ยูอิลฮานได้ใช้เวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้นในการเอาฉลามมาทำเป็นอาหารที่พอให้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ได้กิน และเนื่องจากว่ายูอิลฮานได้ใช้อ่างแห่งปาฏิหาริย์มาทำอาหารทำให้ความเป็นพิษไม่ได้สูงอีกต่อไปแล้ว

“…ฉัน”
“กรี๊ด อร่อยมาก!”

คังมิเรย์กับนายูนาที่อึดอัดใจอยู่ได้ถูกรสชาติของอาหารทำให้ความรู้สึกนี่หายไปทันที และพวกเธอก็ได้เริ่มที่จะสนใจกับการทำอาหาร สำหรับคนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน

“แม่แพ้ลูกแล้ว”

แม้กระทั่งคิมเยซอลก็ยังยอมรับในความพ่ายแพ้

[เคลาทูคที่เป็นถึงคลาส 7 ได้จบลงด้วยการกลายมาเป็นซุปหูฉลาม…]
“ชีวิตคนเรามันไม่มีปลายทางที่แน่นอนหรอกนะ”
[แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะมีปลายทางที่ดีกว่าการกลายเป็นซูชิแน่ๆล่ะ… อ่า อร่อยจัง ที่รักทำทั้งหมดนี้จริงๆสินะ]

ร่างกายของเคลาทูคมีขนาดที่ใหญ่มากๆ ต่อให้พวกเขาเติมเต็มท้องกันจนอิ่มร่างกายของเคลาทูคก็ยังคงเหลืออยู่อีก 95% ยูอิลฮานได้จัดการตัดเอาเหลือส่วนที่เหลืออย่างพอดีคำมาเก็บลงไปในช่องเก็บของและในที่สุดเขาก็ได้เริ่มทำการอัพเกรดป้อมปราการลอยฟ้า

“มิสทิค เธอคิดว่าป้อมปราการนี่ขาดระบบอะไรบ้างไหม?”
[สามัญสำนึกปกติล่ะมั้ง?]
“ไม่ใช่สิ่งที่เธอขาดนะ แต่เป็นสิ่งที่ป้อมปราการขาด”
[คงเป็นวัตถุดิบ?]
“ฉันผิดเองแหละที่มาถามเธอ คำตอบก็คือพลังป้องกัน”

ป้อมปราการลอยฟ้ามีความสามารถที่จะสร้างบาเรียขึ้นมาเองด้วยการใช้มานา หากว่าถูกเรียกออกมาบาเรียก็จะป้องกันป้อมปราการลอยฟ้าจากการกระแทกและการโจมตี

ยังไงก็ตามในความคิดของยูอิลฮานคิดว่าหากเป็นการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบาเรียนี่ก็ยังคงไม่เพียงพอ บาเรียนี่ต่อให้เป็นเขาก็ยังทะลวงผ่านไปได้ง่ายๆเลย

“เรพาะงั้นในตอนนี้ฉันจะใช้เกราะโลหะนี่มาเสริมพลังให้กับบาเรีย”
[เรื่องบ้าๆอีกแล้ว…]

พูดกันอีกครั้งก็คือร่างของเคลาทูคนั้นมหึมามาก เพราะแบบนี้การจะใช้เกราะโลหะของมันมากปกคลุมป้อมปราการลอยฟ้าทั้งป้อมก็ไม่ใช่ปัญหาเลย

อย่างแรกยูอิลฮานได้ทำการหัตถกรรมมานากับชิ้นส่วนเกล็ดโลหะก่อนจนทำให้มันกลายมาเป็นโปร่งแสงและติดตั้งปืนสปริงไว้เพื่อที่จะทำให้ยิ่งเกล็ดโลหะพวกนี้ออกไปปกคลุมป้อมปราการได้เมื่อบาเรียถูกเปิดใช้งาน ปืนสปริงนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะตอบสนองกับมานาบางประเภทและถูกออกแบบมาอย่างปราณีต แต่ว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมเวทย์แล้วการสร้างมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

“แน่นอน นอกจากนี้แล้วมันยังเป็นไปได้ที่จะยิงเกล็ดนี่ออกไปนอกบาเรียในตอนที่บาเรียรับภาระหนักเกินไปอีกด้วย
[มันยังไม่จบใช่ไหม? มันไม่มีทางที่นายท่านจะหยุดแค่นี้แน่]

[นายท่านมันไม่ใช่มนุษย์]
“ใช่ ฉันเลิกเป็นมนุษย์มานานแล้ว ไม่สิฉันได้ก้าวข้ามมนุษย์ทั้งหมดมาต่างหาก!”
[นายท่าน…]

[ป้อมปราการลอยฟ้าสังหาร]
[ระดับ – นิรันดร์]
[ความทนทาน – 100,000,000/100,000,000]
[เงื่อนไขการใช้งาน – ยูอิลฮานเท่านั้น]
[ออฟชั่น –
1.ฟื้นฟูความทนทานจากการดูดซับมานาและพลังชีวิตจากศัตรูใกล้ๆ
2.ระดมยิงอาวุธทั้งหมดออกไปโดยไม่จำเป็นต้องสั่งการ
3.พัฒนาขึ้นอัตโนมัติจากการดูดซับบันทึกของสิ่งมีชีวิต
4.การบินถูกเปิดใช้งาน เร่งความเร็วฉับพลัน ลอยตัวฉับพลัน ทิ้งตัวฉับพลันได้ถูกเปิดใช้งาน
5.ไอเทมทั้งหมดภายในป้อมปราการจะถูกนับเหมือนกับเป็นไอเทมสวมใส่ คนที่อยู่ในปาร์ตี้ของผู้ใช้ป้อมปราการจะได้รับคุ้มครองจากป้อมปราการและจะถูกนับเป็นหนึ่งในสมาชิกของป้อมปราการ
6.พลังป้องกันและพลังโจทตีของอาร์ติแฟคทั้งหมดในป้อมปราการเพิ่มขึ้น 20%
7.พลังป้องกันและพลังโจทตีของอาร์ติแฟคทั้งหมดในป้อมปราการเพิ่มขึ้น 20%
8.สามารถจะใช้บาเรียพิเศษทำการโจมตีและป้องกันได้
9.โอกาสที่จะเกิดปาฏิหาริย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มสูงขึ้น]
[สิ่งประดิษฐ์ที่ได้ก้าวข้ามเทคโนโลยี บันทึกและปาฏิหาริย์ไปแล้ว มันยังคงไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาด ‘ชิ้นส่วนที่หายไป’อยู่ แต่อีกไม่นานก็จะสมบูรณ์]

[มีอะไรงั้นหรอที่รัก?]
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก”

[นายท่านฉันรู้สึกแปลกๆ]
“ทำไมล่ะ สามัญสำนึกที่เธอขาดไปมันโผล่มาแล้วงั้นหรอ?”
[ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะต้องไอออกมาแต่ว่ามันถูกกลั้นเอาไว้! อ๊าาาาาาา อึดอัดอ่า!]

“ฉันจะต้องจี้เธอไหมล่ะ?”
[ไม่ นั่นมันทำกับป้อมปราการได้ด้วยงั้นหรอ!? ฉันอึดอัด! ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังกลั้นอะไรซักอย่างอยู่!]

[ในตอนผู้หญิงหงุดหงิดโมโหนะ สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ก็คือการปล่อยเธอเอาไว้คนเดียวดีกว่าการไปถามเหตุผลแน่ๆ นี่จะเป็นวิธีลดความเสียหายที่ดีที่สุดแล้ว]
“โอ้ ฉลาดมาก”
[นายท่านงี่เง่า! โอโรจิก็ยิ่งงี่เง่า!]

[นิรันดร์? นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินเรื่องแบบนี้ ฉันเคยเห็นสุดยอดช่างตีเหล็กมาหลายคนในชีวิตนะ… แต่ไม่มีใครเลยที่ทำได้ดีกว่าระดับเทพเจ้า]
“บางทีเราจะได้ห็นการเกิดขึ้นของไอเทมที่ไม่เคยมีอยู่แม้ในแต่แนวคิดของบันทึกนภา”
[คนแรก… สินะ ฟุฟุ ฉันดีใจจังที่ได้ใช้เวลานี้กับที่รัก]
“เธอไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่นะ ฉันก็อยู่ด้วยแล้วก็อิลฮานคือของฉัน”

“ฉันดีใจที่ฉันไม่ถึงขนาดที่ต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก เพราะงั้นฉันก็เลยยังมีกระดูกเหลืออยู่!”
[ยังมีเหลืออยู่อีก…]

[ตอนนี้นายท่านคิดว่านายท่านทำมันได้แล้วงั้นสินะ?]
“ใช่แล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี